Friday, August 1, 2025

[meme] ทามาก็อตจิ พาราไดซ์ ขายในไทยแล้ว! แต่...

 



Dreamtoy จัดงานทามาก็อตจิได้น่าผิดหวังมากครับ ขาย tamagotchi paradiseแค่ไม่กี่เครื่อง คนที่เฝ้ารองานนี้ก็เซ็งไป บางคนถึงขนาดนั่งรถมาจากต่างจังหวัด ก็กลับไปมือเปล่า
เห็นว่าขนาดรุ่น Uni ยังไม่มีขายในงานเลย (ไม่แน่ใจว่ามีรุ่น pix มั้ย ถ้ามี ก็ยังถือว่าน่าไป เพราะเป็นรุ่นใช้ถ่านเหมือน paradise แต่หน้าจอจะหน่วงๆหน่อย ไม่ลื่นเท่ารุ่นใหม่ๆ)
ดูแล้วใครไปงานคงได้ซื้อแต่ของตกแต่ง accessories ทามาก็อตจิ หรือรุ่นจอขาวดำกันเท่านั้น

อีกประเด็น
ในไทย scalpers(พวกขายตั๋วผี,พวกตัดหน้าซื้อของจำนวนมีน้อยมาโก่งราคา) ระบาดมาก เพราะยังไม่มีใครนำเอามาเป็นประเด็นใหญ่ ตามกลุ่ม FB ที่ซื้อขายเกมเลยเห็นคนพวกนี้เกลื่อนกลาด
พวกเค้าต่างกับพ่อค้าแม่ค้าฝากหิ้ว ที่บวกราคาเพิ่มแค่ไม่กี่ร้อย ซึ่งผมว่ายุติธรรมดี แต่คนพวกนี้โก่งจาก 1400 ขึ้นไป 2500-3000 + up เลย
ถ้าอยากให้ตลาดออนไลน์ในไทยดีขึ้น อยากให้ตัวเองมีโอกาสเจอของราคาถูกมากขึ้น แนะนำให้บล็อคทุกคนที่มีพฤติกรรมเป็น scalpers ครับ ถ้ามีแต่คนบล็อค พวกเค้าก็จะหาที่ระบายของออกไม่ได้
อาวุธทางออนไลน์แรงๆที่ทุกคนมีตั้งแต่แรก ก็คือการบล็อคนี่แหละครับ

ปล. โพสนี้ไม่ได้ผิดธีมของเว็ปนี้นะครับ ข่าวสารของทามาก็อตจิยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอยู่ (แบบห่างๆ ) (ฮา)

ไว้หาซื้อได้เมื่อไหร่ จะลงวิธีเลี้ยงให้ครับ

Tuesday, June 24, 2025

ชุมชนออนไลน์วงการสัตว์เลี้ยงเมืองนอก VS [ข้อเสีย] ของชุมชนออนไลน์ในไทย

โพสนี้อาจจะออกแนวบ่นนิดๆ
 ช่วงหลังๆ คนไทยมักจะใช้กลุ่มFaceBook ในการพูดคุยเรื่องสัตว์เลี้ยงและซื้อขายสัตว์เลี้ยงต่างๆ ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่สะดวกขึ้นมาก เพราะเมื่อก่อน ถ้าเราจะหาข้อมูลหรือพูดคุยเรื่องสัตว์เลี้ยง ก็จะต้องไปโพสในกระดานข่าวใหญ่ๆอย่างเว็ป P ที่ให้พูดคุยได้ทุกเรื่อง ซึ่งคุณภาพของคนที่มาตอบก็จะแล้วแต่ดวง วันนึงอาจจะได้ระดับปรมาจารย์เรื่องสัตว์เลี้ยงมาตอบ หรือถ้าโชคร้าย กระทู้ของคุณก็จะมีพวกภูตผีวิญญาณโผล่เข้ามาพูดจิกกัดใส่ แถมตอบไม่ตรงประเด็นกับเรื่องที่ถามอีก

นอกจากกระดานข่าวใหญ่ๆแล้ว อีกทางนึงที่เราจะคุยเรื่องสัตว์เลี้ยงได้คือเข้าไปถามตามเว็ปสัตว์เลี้ยงที่แยกกันไปเป็นเว็ปๆตามชนิดสัตว์ เช่น เว็ปเกี่ยวกับปลา เว็ปเกี่ยวกับนก ซึ่งคนที่มาตอบ คุณภาพก็จะแน่นอนกว่าคนจากกระดานข่าวดังๆ แต่ข้อเสียคือ พอเข้าเว็ปสัตว์ประเภทนึงที ก็ต้องสมัครสมาชิกที เดี๋ยวต้องล็อคอินใหม่บ้าง ลืมรหัสบ้าง 

แต่ปัจจุบัน แค่เรามี account ของ FB ก็สามารถพูดคุยตามกลุ่มสัตว์เลี้ยงต่างๆได้เลยครับ คนที่มาตอบก็ดูมีคุณภาพมากกว่ายุคกระดานข่าว แต่การควบคุม การลบคอมเม้นต์พวกผีที่มาจิกกัด ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าชุมชนออนไลน์ต่างประเทศอยู่บ้าง ทำให้เห็นโพสแนวทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ 

ทว่า
ทั้งๆที่ คนไทยมาอยู่ในยุคที่พูดคุยเรื่องสัตว์เลี้ยงได้ง่ายๆผ่าน Facebookแล้ว
ยังมีเจ้าของกลุ่ม FB หลายกลุ่ม พยายามสร้างวัฒนธรรมแปลกๆขึ้นมา คือการไม่อนุญาตให้คนที่ไม่มีรูปจริง และใช้ชื่อจริงใน Facebookโพสอะไรได้ 
จะว่าเป็นเพราะ ต้องการกันไม่ให้คนเข้ามาโฆษณานอกเรื่องในกลุ่ม ผมก็เห็นพวกaccountโฆษณาเถื่อนมันใช้รูปคนจริงชื่อจริงที่สมมุติขึ้นมากันทั้งนั้นอ่ะ 

ชุมชนสัตว์เลี้ยงออนไลน์ต่างประเทศที่ใหญ่ๆอย่าง arachnoboards และ reptileforums.co.uk หรือ reddit จะไม่มีโอกาสได้เกิดเลย ถ้าเค้าใช้กฏเดียวกันแบบนี้ ที่นั่นไม่มีใครเค้าลงชื่อจริงรูปจริงของตัวเองกันเลยครับ
และก็อยู่ได้มีสมาชิกหลักแสนเป็นสิบปีโดยไม่มีกฏต้องใช้ชื่อจริงเหมือนของไทย 

ลองคิดดูถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น วันนึงมีคนเจอแมวหลงทาง เจอนกบาดเจ็บ หมาที่บ้านป่วย เจอแมลงน่ากลัวในบ้าน หรือเจอสัตว์ป่าหลงทางมา แต่คุณโพสบอกใครไม่ได้ เพราะในเฟซบุ๊คคุณไม่ได้ลงข้อมูลตัวจริง เพราะกลัวมิจฉาชีพจะเอาไปใช้ประโยชน์/กลัวคนไม่หวังดี ทำให้ไม่ได้รับอนุญาตให้โพสในกลุ่มที่น่าจะช่วยเรื่องพวกนี้ได้ เพราะผู้มีอำนาจของกลุ่มในFB คิดว่า ไม่ลงรูป+ลงชื่อจริง = เป็นคนไม่ดี 

สุดท้าย ผู้ที่เสียหายที่สุด คือสัตว์พวกนั้นที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะกฏที่ไม่ได้จำเป็นเลยของคนไทยส่วนนึง

คนต่างประเทศ ต้องการถามข้อมูลสัตว์ หรือเจอสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถทำได้เลย โดยที่คนโพสไม่ต้องลงข้อมูลตัวตนจริง

ในไทย ถ้าสัตว์ที่กำลังมีปัญหาพวกนั้น อยู่ในกลุ่มที่ต้องโพสด้วยชื่อจริงรูปจริง ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมไปว่าคนที่เจอพวกมัน เค้าจะยอมลงทุนฝ่าความไม่สะดวก ที่ตั้งโดยเจ้าของกลุ่มFBได้แค่ไหน
ทั้งๆที่การช่วยสัตว์ควรเป็นเรื่องที่"สะดวก" ให้มากที่สุด...... แล้วใครคือคนที่สามารถทำให้ทุกอย่างมันสะดวก "เพื่อช่วยชีวิตสัตว์"ได้?  ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก เวลาจะหมดแล้ว รีบตอบคำถามนี้เลยครับ

ที่น่าขันก็คือกลุ่มที่เอากฏของคนมาก่อนชีวิตพวกนี้มักจะมีคำพรรณาว่ารักสัตว์อย่างนู้นอย่างนี้ หรือต้องการส่งเสริมการรักสัตว์ เวลากดดูตรงส่วนข้อมูลของกลุ่ม แต่คาดว่าถ้ามีใครโพสขอความช่วยเหลือเรื่องสัตว์แล้วในFBไม่ลงรูปชื่อจริง เจ้าของกลุ่มคงลบโพสนั้นทิ้งภายใน 0.3 วิฯ เพราะสัตว์ที่เดือดร้อน บังอาจถูกโพสหาคนช่วยโดยคนที่ไม่มีรูปจริง ดังนั้นมันต้องเดือนร้อนไม่จริงแน่ๆ

เป็นปัญหาที่เจอ Thailand Only จริงๆครับ

รับรองว่า ชุมชนออนไลน์ต่างประเทศจะไม่เจอปัญหา ชื่อสมมุติ/รูปไม่จริง = ไม่ช่วย หรือไม่ให้โพสถาม แบบนี้แน่ มีแต่คนไทยบางกลุ่มเท่านั้นล่ะที่เอาวัฒนธรรมพิลึกๆนี้มาจากไหนก็ไม่รู้
ไปเช็คตาม reddit arachnoboards และ reptileforums.co.uk ได้ครับ





Wednesday, March 12, 2025

วิธีเลี้ยง แมงมุมกระโดด Hyllus Diardi

แมงมุมกระโดด(jumping spider) เป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับคนที่อยากเลี้ยงตัวอะไรที่เล็กกว่าทารันทูล่า (และไม่ทำตัวนิ่งเป็นก้อนหินทั้งวัน) ซึ่งพันธุ์ Hyllus Diardi จะเป็นของแถบบ้านเรา ชอบอากาศชื้น ส่วนตระกูล Phidippus จะมาจาก อเมริกา  
รูปร่างของพวกมันโดยรวมดูกลมๆ ไม่มีแขนขายาวน่ากลัว เหมือนแมงมุมในห้องน้ำหรือทารันทูล่า คนที่กลัวแมงมุม อาจจะไม่รู้สึกกลัวแมงมุมชนิดนี้เลย
บางครั้งเราเจอแมงมุมพวกนี้เดินตามพื้นหรือเกาะผนังอยู่ในบ้านของเราด้วย

แต่ถึงแมงมุมพวกนี้จะตัวเล็ก แต่ภาชนะที่เลี้ยงก็จำเป็นต้องใช้ขนาดพอๆกับภาชนะของทาลันทูล่าต้นไม้ขนาดเล็กเลยทีเดียว ไม่สามารถใช้ภาชนะเลี้ยงเล็กๆเหมือนเวลาเลี้ยง sling(ไซส์ลูก) ของ ทารันทูล่าได้
เพราะแมงมุมกระโดดไม่ชอบอยู่นิ่ง ตู้ที่ใส่เลยต้องกว้างและสูงพอให้มันปีนป่ายสำรวจ 

ส่วนเรื่องพิษจากการกัด เท่าที่เช็คข้อมูลตามเว็ปเมืองนอก ไม่ค่อยมีใครโดนแมงมุมกระโดดกัด ต่อให้เป็นตัวที่ไปเจอตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวที่เอามาเลี้ยงก็ตาม
แต่ถึงจะโดนกัด คนเลี้ยงหลายคนก็บอกมาว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

แมงมุมกระโดดมีอายุขัยเฉลี่ยแค่ 1-2 ปี
ตัวผู้จะสีเข้ม ตัวเมียจะสีสว่างกว่า หรือมีสีเขียวอ่อนแซม
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ อย่างมากก็ 2.5 เซนติเมตร

อุปนิสัย เป็นแมงมุมที่ฉลาดมาก บางตัวมีคนเอาไปยืนดูโทรทัศน์ด้วยกัน มันก็จะทำท่าทางโต้ตอบกับภาพในทีวี บางตัวก็เล่นกับมือคนเลี้ยง หรือโผล่มาทำหน้าสงสัยเวลาคนอยู่ใกล้ๆตู้ และตามเว็ปนอกต่างๆก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนิสัยตลกๆของแมงมุมพวกนี้อีกมากมาย
ถ้าให้เปรียบเทียบนิสัยแมงมุมกระโดด กับ ทารันทูล่า  ฝั่งทารันทูล่าก็จะมาแนวคล้ายๆวัว วันๆอยู่นิ่งกับที่ มีเดินไปมาบ้าง ส่วนแมงมุมกระโดดจะคล้ายกับสัตว์เล็ก ที่คึกคักกว่า อย่างหมาจิ้งจอกอะไรพวกนี้

แมงมุมกระโดดเป็นแมงมุมที่คนนิยมเอาขึ้นมือเล่นมากกว่าทารันทูล่า เพราะมันอยากรู้อยากเห็นมากกว่า และปลอดภัยกว่า
ตาม YouTube ก็มีวิดิโอคนเอาแมงมุมพวกนี้มาเล่นด้วยบนมือหลายคลิป ลองพิมพ์ว่า hyllus diardi หรือ Phidippus ใน YouTube ดูครับ
แต่ยังไง การไม่เอาแมงมุมขึ้นมือก็ดีที่สุดแล้ว เพราะไม่เสี่ยงทำตกให้แมงมุมบาดเจ็บ

อาหาร - หนอนนก เท่าที่ผมเคยเห็น หนอนนกจะมีสองสายพันธุ์ คือตัวอวบอ้วนแบบที่ขายตามร้านขายปลาสวยงามทั่วไป
กับอีกแบบเป็นหนอนนกพันธุ์เล็กสีเหลืองปนดำ ที่อึดกว่า และขนาดแค่ครึ่งของพันธุ์ที่นิยมซื้อขายกัน
หนอนอย่างหลังผมมักจะได้แถมมาตอนซื้อทารันทูล่า  วิธีเลี้ยง(แบบลวกๆ) อ่านจากหน้าทารันทูล่าในเว็ปนี้ครับ
นอกจากนี้ก็กิน แมลงสาบดูเบีย จิ้งหรีดขนาดเล็ก ห้ามทิ้งจิ้งหรีดเป็นๆไว้ในตู้เลี้ยงกับแมงมุมนานเกินไป ไม่งั้นอาจจะได้เลี้ยงจิ้งหรีดที่กินแมงมุมจนตัวอ้วนแทน
แต่อาหารขนาดที่เหมาะที่สุดคือ แมงหวี่Fruit fly  ซึ่งแมงหวี่ชนิดนี้ ผมเคยเห็นเพจ facebook ของ beetle hubขายเมื่อก่อน แต่ไม่รู้สมัยนี้ยังมีร้านไหนขายมั้ย 
แมงมุมไม่สามารถกินอาหารแห้งที่ไม่มีชีวิตได้ครับ ต่อให้เป็นแมลงแห้งก็ตาม ถ้าจะเลี้ยงอย่าคิดหาทางลัดเลย

อาหาร ให้สองครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าแมงมุมเด็ก ต้องให้ถี่กว่าหน่อย เช่น ทุก 2วัน เพราะตามธรรมชาติ แมงมุมเด็กจะกินจุ เพื่อให้โตได้เร็ว จะได้ลดโอกาสที่จะถูกสัตว์อื่นจับกิน
แต่ถ้าให้อาหารแมงมุมที่โตแล้วมากเกินไป แมงมุมก็จะโตเร็วและตายเร็ว เวลาให้จึงควรสังเกตุตรงท้อง(หรือเรียกว่าก้นดี?) มันด้วย ว่าป่องใหญ่กว่าส่วนลำตัวเกินไปมั้ย ถ้ารูปทรงยังเป็นทรงหยดน้ำอวบๆ แปลว่ากำลัง ok แต่ถ้าท้อง/ก้น กลายเป็นทรงวงรี แปลว่าให้เยอะไป

 hyllus diardi ต้องพรมน้ำบางๆที่ผนังตู้บ่อยหน่อย อย่างต่ำวันละครั้งเพราะพวกมันชอบความชื้น วางสำลีชุปน้ำในตู้ภาชนะเพื่อเพิ่มความชื้น(เปลี่ยนสำลีทุก 2-3วัน)
ไม่ควรใส่จานใส่น้ำในตู้เลี้ยง เพราะแมงมุมจะลงไปจมได้
ขนาดของตู้เลี้ยงอย่างต่ำควร จะ กว้าง 6 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว  และด้านสูงก็เลือกให้สูงกว่านั้นพอสมควร
จะเอาให้ใหญ่กว่านี้ก็ได้
อุณหภูมิเลี้ยง 28-31 องศา  ส่วนตระกูล  Phidippus ต้องเลี้ยงเย็นกว่านั้น ไม่ควรเกิน 28 องศา

รูระบายอากาศของภาชนะเลี้ยงควรอยู่ด้านข้างซ้ายขวาให้ลมไหลผ่านสะดวก  มีประตูด้านข้างไม่ใช่เปิดจากด้านบน เพราะแมงมุมจะทำรังอยู่ด้านบนของตู้เลี้ยง
ตู้พวกนี้หาซื้อได้ตามกลุ่มคนเลี้ยงแมงมุมหรือแมลงตาม Facebook ครับ หรือดูที่จตุจักร
ใส่วัสดุรองพื้นเช่นพีทมอส ขุยมะพร้าว ถ้าจะใส่ต้นไม้ปลอมหรือวัสดุปีนป่ายลงไปด้วย ก็อย่าให้เยอะจนเกะกะ เพราะเวลากินอาหารแมงมุมจะพุ่งไปจับเหยื่อ ถ้าตู้รก จะทำให้มันพุ่งจับเหยื่อลำบาก

แมงมุมกระโดดหาซื้อได้ตามเฟซบุ๊คกลุ่มคนเลี้ยงแมลง และ กลุ่ม ที่ซ่อนคนเลี้ยงสัตว์ม...
หรือถ้าเจอตามบ้านตัวเอง ก็ลองจับมาเลี้ยงดูได้ครับ



รูปจาก reddit ตัวกลางพันธุ์ Phidippus Regius. ชื่อ Gidget เจ้าของบอกว่า กำลังกินองุ่น(?)


Tuesday, January 28, 2025

สำนักพิมพ์ วรรณวิภา กำลังลำบาก เลยอยากช่วยโพสในBlog ของตัวเองครับ เผื่อใครจะช่วยนักแปลระดับตำนานอย่างคุณสุวิทย์ ขาวปลอดได้
ผมไม่ได้อ่านนิยายเรื่องไหนๆมานานแล้วเพราะหลังๆเอาแต่เล่นเกมกับอ่านการ์ตูน  แต่ก็ยังพอมีความทรงจำสมัยก่อนกับ สนพ นี้บ้าง
ข้อมูลเอามาจากลิ้งค์กลุ่มเฟซบุ๊ค พูดคุยซื้อขายนิยายแปล ของสนพวรรณวิภา ครับ


Monday, August 26, 2024

สัตว์เลี้ยงเวอร์ชวล Tamagotchi uni


ทามาก็อตจิ เป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับคนที่อยากมีสัตว์เลี้ยงแบบที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก
ในต่างประเทศเรียก สัตว์เลี้ยงเสมือนจริงแบบนี้ ว่า Virtual pet (ชื่อย่อV-Pet) มากกว่าจะเรียกว่า Digital pet (สัตว์เลี้ยงดิจิตอล) เหมือนในไทย

ทุกปีสองปี Tamagotchi ก็จะมีรุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ แต่ละรุ่นก็จะมีลูกเล่นต่างกัน(ถ้าใครเล่นเกมโปเกมอน ก็จะรู้ว่าแต่ละภาคจะมีจุดขายใหม่ตลอด) และรุ่นล่าสุด ก็คือ Tamagotchi Uni ออกปี 2023
ส่วนรุ่นอื่นๆที่หาได้ในไทยก็ Tamagotchi Pix ซึ่งว่ากันว่ามีเนื้อหาครบเครื่องกว่า Uni กับ พวกรุ่นจอขาวดำ ที่ทำมาขายใหม่อย่าง Gen1 Gen2

ราคาของ ทามาก็อตจิ ยูนิ ผมเจอราคาถูกสุดคือ 2,054 บาท จากร้านหนังสือ Kinokuniya(เดือน8/2024)
ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ Dreamtoy เอามาลงขายตามเว็ปและแอปขายของดังๆ ในราคาที่ถูกกว่าคิโนะ แต่ตอนนี้หมดแล้วครับ ทำให้ตามเว็ปพวกนั้น เหลือแต่เจ้าที่ขายราคาค่อนข้างแพง
แต่ถ้าหาตามกลุ่มซื้อขายทามาก็อตจิใน Facebook ก็อาจจะได้ถูกกว่านี้
ส่วนรุ่นจอขาวดำจะถูกกว่ามาก ราคาไม่กี่ร้อยเองครับ

ในกล่อง จะใส่ทามาก็อตจิมาพร้อมกับสายนาฬิกา แต่ตัวสายถอดออกได้ จนเหลือแต่ตัวเครื่องกลมๆ
ความประทับใจแรก ของรุ่น Uni คือ จอภาพสีสันสวยงามมากก ขนาดผมชินกับภาพเกมสวยๆบนมือถือแล้ว ยังรู้สึกว่ามันสวยทุกครั้งที่มองเลย ตัวทามาก็อตจิเอง ก็ขยับตัวได้หลายแบบ ดูไม่เบื่อเลย
ตัวละครบางตัวมีเสียงพูดเป็นภาษาต่างดาวให้ได้ยิน ฟังแล้วน่ารักดี

ปุ่มกดก็ใช้งานง่าย ผมสามารถใช้มือเดียว จัดการทุกอย่างในเครื่องได้สบาย เมนูเข้าใจง่าย เพราะถูกออกแบบมาให้เด็กเล่น

ทามาก็อตจิแต่ละตัว จะมีนิสัยต่างกัน มีทั้งขี้อาย คึกคัก สบายๆ หรือ เอาแต่ใจ ซึ่งนิสัยของแต่ละตัวจะแสดงออกมาเป็นท่าทางในสถานการณ์ต่างๆ เช่นตอนอยู่เฉยๆในห้อง ตอนโต้ตอบกับคนเลี้ยง ตอนไปเจอตัวอื่นๆผ่านเน็ต
และทุกวันตอน1ทุ่ม พวกมันก็จะถ่ายชีวิตประจำวันของตัวเองไปโพสลงโซเชียลด้วย
เราสามารถกดขอ QR โค้ด จากตัวเครื่อง เพื่อโหลดรูปจากโซเชียลของทามาก็อตจิ มาเก็บลงมือถือเราได้

วิธีการดูแล ก็มีทั้งให้อาหาร ขนม อาบน้ำ ล้างอึ และเล่นเกมเพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารและขนมดีๆ
ทามาก็อตจิ พอโตแล้วจะไม่ชอบกินอาหารแบบฟรีๆ ที่มีให้กินไม่อั้น เราต้องพามันเล่นเกมผ่านเมนู Arcade เพื่อหาเงินมาสั่งซื้ออาหารหรูๆจาก Delivery  หรือของตกแต่งต่างๆ
เกมที่เล่นได้ จะมีอยู่ 6 เกม มีสองเกมที่เล่นได้ตลอด ส่วน อีก 4 เกม จะวนให้เล่นไปตามฤดูกาล นอกจากนี้ก็มีเกมอื่นๆอีกในโหมด Tamaverse และจากเนื้อหาเสริม

รุ่น Uni จะมีข้อดีตรงที่ว่า ตัวสัตว์เลี้ยง จะไม่เรียกร้องให้เราดูแลบ่อยมาก เหมือนรุ่น Pix  ยกเว้นช่วงชั่วโมงแรกที่พึ่งฟักมาจากไข่ ต้องให้อาหารถี่หน่อย

ถ้าวันไหนเราไม่มีเวลาเล่นหาเงินในเครื่องเพื่อซื้ออาหารที่ถูกใจทามาก็อตจิที่โตแล้ว ก็ยัดอาหารฟรีให้ก็ได้ครับ แต่จะทำให้ค่าความสุขลดลง ซึ่งก็แก้ด้วยการให้กินขนมฟรีๆอย่าง Jelly Bean เพื่อดึงค่าความสุขกลับขึ้นมา

สำหรับเจ้าของที่ต้องไปทำงาน และพกทามาก็อตจิไปด้วยไม่ได้ เราก็สามารถเรียกพี่เลี้ยงเด็ก(Sitter) มาดูแลได้ด้วย โดยจะมาดูแลให้ตั้งแต่ เวลาที่ทามาก็อตจิ ตื่น (7โมงเช้า) จนถึง 6 โมงเย็น   ถ้าใครออกจากบ้านไปทำงานเวลาไหน ก็ตั้งเวลาของตัวเครื่องให้ทามาก็อตจิตื่น ก่อนเราไปทำงานซักครึ่งชั่วโมงก็ได้ จะได้มีเวลาเรียกพี่เลี้ยงมาดูแล แต่ก็จะทำให้เวลาในเครื่องไม่ตรงกับเวลาจริงๆ
ทามาก็อตจิเด็กจะหลับตอน 9:00 pm  ตัวที่โตแล้วจะหลับตอน 4 ทุ่ม
วันไหนผมไปทำงาน ผมจะหยิบตัวเครื่องมาดูหลังจากกลับบ้านแค่ไม่กี่ครั้งเอง เพราะเวลาอยู่กับพี่เลี้ยง ค่าต่างๆจะไม่ค่อยลด

ลูกเล่นต่างๆ

1. ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ - เราสามารถวางของเล่นทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ได้ ทามาก็อตจิแต่ละตัวจะมีของเล่นที่ชอบต่างกัน และอาจจะชอบถึงขนาดเอาไปเล่นในห้องนอน 
บางครั้งทามาก็อตจิจะแสดงความรู้สึกออกมาว่าชอบไม่ชอบเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้อง และถ่ายรูปไปลงโซเชียล ถ้าเราเอาเฟอร์นิเจอร์ตัวโปรดของทามาก็อตจิออกไปจากห้อง ก็จะทำให้พวกมันเศร้าลง

นอกจากนี้ในเมนูของเล่น จะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดให้เราเลือกใช้ทำความสะอาดห้องได้ด้วย

2. Tama Walk - ถ้ากดเข้าโหมดนี้ จะเป็นการพาทามาก็อตจิไปเดินเล่น ซึ่งเป็นโหมดที่จะนับการเดินของเรานอกบ้านจริงๆ ทามาก็อตจิจะสามารถเจอกับพวกมันตัวอื่น ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆของโลกทามาก็อตจิ และได้วัตถุดิบสำหรับสร้างของมาเป็นรางวัล

3. Tama Search - กดปุ่มสุดท้ายตอนอยู่ในห้องนั่งเล่น เพื่อเข้าโหมดนี้ ทามาก็อตจิจะออกไปท่องเที่ยวแล้วเจอกับตัวละครอื่น โดยชนิดตัวละครที่เจอจะขึ้นอยู่กับสัญญาณ wifi รอบตัวเราที่เครื่องจับได้ และถ้าได้เจอกับตัวไหนบ่อยๆ สัตว์เลี้ยงของเราก็จะชวนเพื่อนตัวนั้นมาเที่ยวที่บ้านได้

4. การซื้อข้าวของต่างๆ - เราสามารถใช้เงินที่ได้จากการเล่นกับทามาก็อตจิ ไปซื้อของต่างๆได้หลายอย่าง ทั้งห้องใหม่ ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ ของประดับตัวสัตว์เลี้ยง เสื้อผ้า หรือจะสั่งอาหารดีๆมาตุนไว้ก็ได้
บางวันสินค้าต่างๆก็ลดราคา 50% ด้วยครับ

5. การสร้างของ - เป็นการเอาวัตถุดิบที่ได้จากโหมด Tama walk มาสร้างของประดับร่างกาย รวมทั้งย้อมสีตามต้องการ

6. Tama Pet - สัตว์ตัวเล็กๆจะเยี่ยมที่บ้านทามาก็อตจิ ถ้าเราเอาของเล่นหรือเฟอร์นิเจอร์บางชนิด วางไว้ที่นอกบ้าน Tama Pet ที่มาเที่ยวจะหายไป ถ้าเราเปลี่ยนของที่วางไว้ หรือ เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก

Tamaverse จุดขายหลักของรุ่น Uni ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงของทามาก็อตจิ โหมดนี้เราจะต่อเน็ตหรือไม่ต่อ ก็เข้าได้ แต่ถ้าไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต อาจจะขาดเนื้อหาบางอย่าง

Entrance ทางเข้า - เราจะได้เจอกับทามาก็อตจิที่คนอื่นเลี้ยงไว้ทั่วโลก สามารถกดถูกใจ หรือดูคะแนนถูกใจได้

Tama Square แบ่งเป็น 3 พื้นที่
- Tama Party หาคู่แต่งงาน จากทามาก็อตจิของคนอื่นๆได้จากที่นี่
- Tama Travel - ทามาก็อตจิของเราจะได้ออกทัวร์ไปสถานที่แปลกๆ ด้วยราคา 2000G พอกลับมา ก็จะได้ของที่ระลึก
- Tama Fashion - ซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นเซ็ต และอัพโหลดชุด

Tama Arena ลานประลอง - พื้นที่เทศกาลแข่งขัน จะใช้งานพื้นที่นี้ได้เป็นช่วงๆ มีไว้แข่งกับคนอื่นผ่านมินิเกม เพื่อรับรางวัล

Download - เมนูนี้ใช้สำหรับกดใส่ code เพื่อรับของขวัญต่างๆ

Update - ใช้เพื่ออัพเดทปรับปรุงเครื่อง ให้มีเนื้อหาล่าสุด  ถ้าไม่อัพเดท อาจจะเข้าทามาเวิอร์สไม่ได้

Info - ดูข่าวสารข้อมูลใหม่ๆ

Tama Portal 

เป็นพื้นที่สำหรับ เนื้อหาเสริม เรียกสั้นๆว่าDLC หรือ ticket หรือจะเอาตามที่ผู้เล่นในไทยเรียกว่า เมือง ก็ได้

เมื่อเข้าไปในพอร์ทัล ข้างในก็จะมีกิจกรรมให้ทำคล้ายๆทามะเวิร์ส แต่ตึกรามบ้านช่องภายในจะถูกตกแต่งตามธีมของDLCที่เราโหลดไว้ในเครื่อง มีจุดพบปะคนให้กดถูกใจกัน ร้านขายของตามธีม และเล่นจุดเกมที่มีเนื้อหาพิเศษ 

ทามาก็อตจิรุ่น Uni จะโหลดเนื้อหาเสริมมาใส่ในเครื่องได้จากการซื้อ Ticket หรือบางกล่องก็จะขายพร้อมกับDLCเลย เช่นกล่องที่เขียนว่า Angel หรือ Monster ซึ่งกล่องที่แถม DLC เราต้องเอาโค้ดไปดาวน์โหลดหลังจากซื้อเอง เพราะมันไม่ได้อยู่ในเครื่องแต่แรก
โดยเครื่องนึงจะจุได้แค่ 1 DLC เท่านั้น ถ้าอยากเปลี่ยนเนื้อหาเสริม อันเก่าก็จะถูกลบออกไป แต่สามารถโหลดลงเครื่องใหม่ทีหลังได้ 

 
แต่ละเนื้อหาเสริม จะมีทั้ง ตัวละครใหม่ที่เลี้ยงได้ สถานที่เฉพาะของDLCนั้น มีเกมใหม่ กิจกรรมใหม่ อาหาร ข้าวของเครื่องประดับต่างๆ ซึ่ง DLC ทุกอันจะมีธีมของมัน เช่น แฟชั่นโชว์ วงดนตรี สไตล์นางฟ้า สไตล์สัตว์ประหลาด ธีมสินค้าของSario 

เราสามารถซื้อ DLC ผ่านเว็ปทางการได้ https://ticketshop.tamagotchi-official.com/ ราคาประมาณสองร้อยต้นๆ และในเว็ปก็มีโค้ดเนื้อหาเสริม Berry Land ให้โหลดฟรีๆด้วย

การลง DLC จะลงได้ต่อเมื่อทามาก็อตตัวเก่าเราย้ายออกไป แล้วกำลังจะเริ่มเลี้ยงตัวใหม่เท่านั้น และข้าวของต่างๆของ DLC ตัวเก่าก็จะหายหมด เพราะเครื่องนึงจุ DLC ได้แค่อันเดียว

โค้ดของ DLC หนึ่งโค้ด สามารถลงได้ถึง 3 เครื่อง และลงซ้ำเครื่องเดิมได้ไม่จำกัด ดังนั้นเราสามารถแบ่งโค้ดให้คนอื่นได้ครับ

การเริ่มเลี้ยง ทามาก็อตจิรุ่นต่อไป - หลังจากทามาก็อตจิโตเต็มที่ได้ 4 วัน พวกมันก็จะขอย้ายออกไปอยู่ตัวเดียว ถ้าเราปฏิเสธไม่ให้ย้ายออก  พวกมันก็จะอยู่ต่อ และอาจจะขออนุญาตอีกวันหลัง
หลังจากอนุญาต ทามาก็อตจิ ก็จะเก็บข้าวของเตรียมย้ายออกแล้วทิ้งไข่ไว้ให้เราเลี้ยงรุ่นต่อไป

นอกจากจะรอให้ทามาก็อตจิขอย้ายออกเอง เราสามารถ พาทามาก็อตจิไป Tamaverse เพื่อหาคู่แต่งงาน แล้วย้ายออกได้ด้วยครับ ซึ่งก็จะได้ไข่มาเหมือนกัน



เกร็ดเพิ่มเติม:

- กลุ่มพูดคุยเรื่อง Tamagotchi มีหลายกลุ่มในเฟซบุ๊คเลยครับ ใครอยากตามข่าวสารเวลารุ่นใหม่ๆออก ก็ลองเข้ากลุ่มพวกนี้ได้

- ถ้าในไทย ขายกันโก่งราคามาก และเกิดร้าน Kinokuniya ขายหมด แนะนำให้ลองสั่งจาก Amazon หรือ ebay ดูครับ ผมสั่งซื้อผ่าน Amazon รุ่น Tamagotchi Pix ที่ในไทยขายกัน 3500 บาท มาแค่ 2,034 บาทเอง รวมค่าส่งแล้วด้วย เดี๋ยวนี้มีแค่บัตร ATM ก็ซื้อได้แล้ว ผมใช้ของไทยพาณิชย์

-กล่องที่ร้าน kinokuniya ขาย จะให้คู่มือเป็นภาษาญี่ปุ่น ต้องไปโหลดคู่มือภาษาอังกฤษจากในเน็ตแทน พิมพ์ค้นหาว่า tamagotchi uni manual (แต่ตัวเครื่องมีภาษาอังกฤษนะครับ เฉพาะคู่มืออย่างเดียวที่ไม่ใช่)

-  ตอนเปิดเครื่องครั้งแรก มันจะให้ตั้งชื่อเรา ไม่ใช่ชื่อของสัตว์เลี้ยง และเวลาตั้งค่าปีปัจจุบัน ให้ระวัง เพราะถ้ากดเลยไป เราต้องกดปุ่มเปลี่ยนปีไปเรื่อยๆจนถึงปี 2090 แล้วถึงจะวกกลับมาปี 2023

- หน้าจอ Uni เป็นรอยง่ายมาก ควรซื้อฟิล์มแบบ ฟิล์มมือถือ มาแปะกันรอยด้วย ตามเว็ป Shopee Lazada มีฟิล์มของ ทามาก็อตจิโดยเฉพาะขายเลย  เคสนุ่มๆรองรับการกระแทกก็มีขาย แต่ไม่แนะนำฟิล์ม TPU เพราะติดยากมาก มันอ่อนยวบยาบ จับมุมนู้นให้เข้า มุมนี้หด กว่าจะแปะให้ครบสี่มุม ผมปรับแล้วปรับอีกจนฟิล์มเปื้อนจากด้านใน จนใช้ไม่ได้เลย เลือกฟิล์มทรงแข็งๆจะติดง่ายกว่า

- การเปลี่ยนแบตในกรณีที่แบตเสื่อม แบตของรุ่น Uni จะฝังอยู่ในเครื่อง ไม่เหมือนรุ่น Pix ที่ใช้ถ่านก้อนเล็ก ดังนั้นต้องให้ช่างที่ชำนาญพวกเรื่องของเล่น เครื่องเกม เปลี่ยนให้ เมืองนอกมีคนเปลี่ยนได้แล้ว
แนะนำให้เลียบๆเคียงๆถามกลุ่มเฟซบุ๊คที่เกี่ยวขายเครื่องเกมสายมืด หรือเครื่องเกมแปลงดูครับ เพราะส่วนมากที่นั่น จะมีช่างเก่งๆอยู่ในกลุ่ม และรับแปลงเครื่องเกมผ่านทางพัสดุ หรือจะเอาไปให้ทำถึงที่ก็ได้ เช่นที่ห้าง Mega Plaza ที่เป็นที่รวมพลแห่งเกมและของเล่นใหม่ หลังจากสะพานเหล็กปิดไป(ผมไปมาครั้งนึง ทั้งคนทั้งของ แน่นไปทั่วทุกตารางนิ้ว แทบไม่มีที่หายใจเลย)

แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องแบต ก็ซื้อ Tamagotchi รุ่น Pix และ Pix Party มาเลี้ยงดีกว่าครับ เพราะใช้ถ่านก้อน แต่เหมือนรุ่นนี้จะกินถ่านหน่อยๆ เลยแนะนำว่าให้ซื้อเป็นถ่านชาร์จมาใช้

- เนื่องจากขนาดของแบตของTamgotchi Uni มีขนาดเล็ก ควรหลีกเลี่ยงการใช้หัวชาร์จมือถือรุ่นชาร์จเร็ว(Fast Charge)ให้ใช้อะแดปเตอร์แบบธรรมดาแทน ที่สำคัญคือ สายชาร์จ ต้องเป็นสายที่ด้านนึงเป็น USB-A อีกด้านเป็น USB-C เท่านั้น (แบบเดียวกับสายที่แถมมาในกล่อง) ไม่ควรใช้สายที่เป็น usb-c ทั้งสองด้าน เพราะสายอย่างหลัง ไฟฟ้าจะเข้าเครื่องมากเกินไป
ส่วนวิธีชาร์จที่ปลอดภัยวิธีอื่นก็คือการเสียบหัว usb c เข้าชาร์จกับคอม พาวเวอร์แบ้งค์ หรือ ปลั๊กต่อ ที่มีรู USB 

ทามาก็อตจิ เป็นสัตว์เลี้ยงเสมือนจริง ที่คนเลี้ยงต้องใช้จินตนาการควบคู่ไปด้วยถึงจะสนุก เหมือนกับเวลาเราอ่านนิยาย ที่คนอ่านต้องใช้ข้อมูลจากตัวหนังสือครึ่งหนึ่ง ที่เหลือคือการใช้จินตนาการของตัวเองอีกครึ่งหนึ่งถึงจะอ่านเพลิน ดังนั้นถ้าเราจินตนาการให้รู้สึกว่ามันมีชีวิตไม่ได้ ก็จะไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับการเลี้ยงซักเท่าไหร่
และเวลาเลี้ยงก็ไม่ควรคลุกคลีกับมันมากนัก เพราะเนื้อหาของตัวเครื่องไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าเกมหรืออุปกรณ์สมัยใหม่ ถ้าใช้เวลากับมันนานไป จะทำให้เบื่อได้ ให้ดูแลมันเฉพาะตอนเวลาว่างเป็นช่วงสั้นๆ จะสนุกกว่า


Monday, August 12, 2024

ข้อมูลอย่างคร่าวๆของ โรงพยาบาลสัตว์เกษตร จุฬา ในปี 2024

ข้อมูลสั้นๆของสองโรงพยาบาล ที่ผมไปใช้บริการบ่อย เวลาที่แมวป่วยครับ เป็นข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ดังนั้น บางเรื่องอาจไม่ตรงกับประสบการณ์ของคนอื่นๆที่เคยไปก็ได้ ก็ขอให้คิดว่าเป็นข้อมูลคร่าวๆละกัน


โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ - ค่าบริการยังถูกเหมือนเดิม ในปี 2024  มีหลายครั้งที่ไปแล้วจ่ายไม่ถึง 500 อย่างมากก็ 1000 นิดๆ คิวรอไม่นานเท่าเกษตร  วันธรรมดาไปได้ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงบ่าย ไม่จำกัดคิว

วันเสาร์อาทิตย์รับแค่ 30 คิว ดังนั้นควรไปให้ถึงซัก 6 โมงเช้า ก่อนที่บัตรคิวจะหมด
เบอร์โทร 02-218-9751 ถนนอังรีดูนังต์ รพ อยู่เกือบถึงพารากอน
 

โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - ราคาออกไปทาง รพ.เอกชน ครั้งนึงราว 1,000-2,000 หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนผ่าตัดจำได้ว่าราคาค่าผ่าตัดไม่ห่างจากจุฬาฯมากนัก แต่การบริการต่างๆรวมทั้งหมอก็รู้สึกว่าสมราคาดี
คนเยอะกว่าจุฬา และรับจำนวนจำกัด ควรไปถึงก่อน 6โมงครึ่ง หรือ ยิ่งเช้ากว่านั้นยิ่งดี ไม่งั้นจะต้องมาอีกทีรอบ 5 โมงเย็นแทน

สำหรับสัตว์ที่เป็นมะเร็ง แนะนำให้มาที่เกษตรเป็นอันดับแรกเลยครับ เพราะที่นี่มีอุปกรณ์เฉพาะที่ รพ. อื่นอาจจะไม่มี และคุณหมอที่ดูแลเรื่องมะเร็ง ใส่ใจสัตว์เลี้ยงที่เข้ามารักษามาก

รพ. ติดกับ BTS ม.เกษตร เบอร์โทร 02-797-1900
เนื่องจาก รพ นี้ติดกับ BTS เวลายาที่หมอจ่ายมาหมด ผมสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปรับยาตอนเย็นได้สบายๆ รวมทั้งตอนที่แมวผมต้องแอดมิตอยู่รพ ก็นั่งBTS มาเยี่ยมตอนเย็นได้ด้วยครับ

ปล. ว่าด้วยเรื่องโรงอาหาร สำหรับคนที่จำเป็นต้องรอรับการรักษานานไปจนถึงบ่าย
โรงอาหารของจุฬาฯ ค่อนข้างคึกคักเต็มไปด้วยนักศึกษา ดูแล้วน่าจะหาที่นั่งยากกว่าเกษตร
นอกจากนี้ก็มีร้านเล็กๆหน้าโรงอาหาร ที่ขายข้าวแกงราคาถูกมาก (30กว่าบาท) แต่เหมือนร้านนี้อาจจะให้เฉพาะคนภายในมากินเท่านั้น?(แต่ผมก็เผลอต่อคิวซื้อไปแล้วครั้งนึงอ่ะนะ)

ส่วนทางด้านโรงอาหารของเกษตร จะอยู่ที่ตึกข้างๆตัวโรงพยาบาลสัตว์ แต่เหมือน นศ. ไม่ค่อยมาใช้บริการจุดนี้ซักเท่าไหร่ เลยมีที่นั่งให้เลือกตามสบาย อาหารก็หลายแนวดีครับ

กลับดาวแมวแล้วจ้า

Tuesday, March 5, 2024

ประสบการณ์ ฝูงแมงเม่าแตกรังในบ้านนับพันตัว

 โพสนี้ขอนอกเรื่องจากเรื่องสัตว์เลี้ยงหน่อยครับ เพราะเป็นเรื่องสยองที่เจอมาหมาดๆ

ถ้าใครเจอแมงเม่าบินอยู่ในบ้าน ทั้งที่ตามถนนนอกบ้านไม่มีแมงเม่าบินให้เห็น แปลว่าในบ้านของคุณมีรังปลวกที่กำลังสุกงอมเต็มที่อยู่ครับ

ก่อนจะเกิดเรื่องฝูงแมงเม่าแตกรัง ประมาณ 1 อาทิตย์  ผมเริ่มเห็นแมงเม่าบินอยู่ในบ้านวันละ 2-3 ตัว ตอนแรกก็นึกว่ามันมาจากนอกบ้านเหมือนทุกปี  แต่พอเห็นติดต่อกันหลายวัน ก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่าแมงเม่าพวกนี้อยู่ในบ้านแต่แรกรึเปล่า แต่ด้วยความขี้เกียจ ก็เลยไม่ได้พยายามค้นหาต้นตออะไร

จนปัญหาสุกงอมเต็มที่ คืนนึงผมออกจากห้องน้ำ ก็เจอฝูงแมงเม่า ประมาณเกือบห้าสิบตัว บินอยู่ชั้นล่าง
ตอนแรกผมก็นึกว่า มุ้งลวดขาด แมงเม่านอกบ้านเลยบินเข้ามา แต่พอออกไปชะเง้อดูนอกบ้าน ก็ไม่เห็นบ้านอื่นจะมีแมงเม่าเลย

หลังจากนั้น พอเดินขึ้นไปชั้นบนบ้านเพื่อจะเช็คดูว่ามันกระจายไปชั้นบนรึเปล่า ก็พบว่า
แมงเม่าบินอยู่ในห้องนอนเป็น1000ตัวเหมือนพายุเลยครับ!!

คงเป็นภาพที่จะติดตาไปอีกนานไปเลย ฝูงแมงเม่ากำลังบินว่อนจนเสียงดังวูมๆเหมือนเครื่องบินบินผ่าน กับภาพแมวตัวน้อยของผมจ้องพวกมันตาค้าง 
พอตั้งสติได้ ผมก็รีบเอามือปัดๆแมงเม่าให้ออกจากหน้าจากหัว แล้วรีบอุ้มแมวเข้าไปหลบในห้องที่ปิดประตูไว้

จากนั้นผมก็กลับไปที่ใจกลางพายุแมงเม่าอีกครั้ง เพื่อหาที่มาของพวกมัน ก็ปรากฏว่า เป็นขอบหน้าต่างไม้เก่าๆในห้องนอน ที่มีแมงเม่าผุดออกมาทีละตัวสองตัวครับ รังของมันคือขอบหน้าต่างบนหัวนอนผมนั่นเอง

ตอนนั้นในสมองก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหาเต็มที่ ไปปิดไฟห้องนอนเปิดไฟนอกบ้านเพื่อล่อให้มันไปตอมทางนั้นแทน และฉีดยาฆ่าแมลงตรงรัง

จนซักชั่วโมง หายนะนี้ก็จบไปครับ แมงเม่าบินออกไปนอกบ้านประมาณ 30% ส่วนที่เหลือก็สลัดปีก ตกลงมาตามพื้น แล้วเริ่มจับคู่เดินตามกันไปในซอกพื้นไม้ ซอกเฟอร์นิเจอร์ เกาะตามผนัง
คนในบ้านผมก็เอาไม้กวาดมากวาดแมงเม่าไร้ปีกพวกนี้ไปทิ้ง แล้วรีบโทรติดต่อให้ช่างแถวบ้านมารื้อไม้ผุที่เป็นรังของพวกมันในวันรุ่งขึ้น
คืนนั้นทุกคนเลยต้องย้ายกันไปนอนตามห้องที่แมงเม่าไม่ได้บินเข้าไปครับ

สาเหตุที่ผมไม่ทราบว่า ขอบหน้าต่างในห้องเป็นรังปลวก เป็นเพราะหน้าต่างผมถูกทาสีไว้จนดูเหมือนใหม่ครับ แต่ที่จริงคือไม้เก่ามากแล้ว

จากประสบการณ์ สิ่งที่ควรทำตอนเจอสถานการณ์แมงเม่าแตกรังในบ้าน ก็คือ

- หากะละมังใส่น้ำตื้นๆ มารองไว้ให้ทั่วบ้าน แมงเม่าที่สลัดปีก จะตกลงมาตายในนี้ และไปเพาะพันธุ์ที่ไหนต่อไม่ได้
- ปิดไฟในบ้าน เปิดไฟนอกบ้าน เพื่อล่อแมงเม่าให้ออกไป
- ฉีดยาฆ่าแมลงตรงรัง
- เอากระบอกฉีดน้ำ แบบที่ใช้ฉีดน้ำตอนรีดผ้า มาฉีดใส่แมงเม่าที่บินอยู่ เพื่อให้พวกมันตกลงมา
- ติดต่อบริการฉีดกำจัดปลวก ให้เร็วที่สุด เพราะแมงเม่าที่สลัดปีกทิ้ง จะจับคู่กันทำรังเพิ่มในบ้าน

Friday, October 20, 2023

ประสบการณ์การรับบริจาคเลือดให้แมวที่ โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 สำหรับผมการรับบริจาคเลือดให้สัตว์เลี้ยง เป็นอะไรที่รู้สึกไกลตัวมาก เคยเห็นแต่คนอื่นประกาศรับบริจาคเลือดให้สัตว์เลี้ยงของตัวเอง แต่นึกไม่ถึงว่าพอถึงวันนึง ผมต้องหาเลือดมาให้แมวของผมหลังผ่าตัดเหมือนเจ้าของคนอื่นๆ เพราะคุณหมอผ่าตัดบอกไว้ก่อนว่า แมวผมจะเสียเลือดมาก เพราะผ่าหลายจุด คุณหมอเลยบอกให้เตรียมหาเลือดไว้เลย

เนื่องจากเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ถ้ามีขั้นตอนไหนตกไปบ้าง ก็ขออภัยนะครับ แต่หลักๆคือ
1. หาเลือด
2. ตรวจความเข้ากันของเลือดระหว่างสัตว์เลี้ยงสองตัว
3. ติดตามอาการสัตว์เลี้ยงหลังรับเลือด ว่าจะต้องการเลือดเพิ่มอีกหรือไม่


การหาเลือด มีอยู่ 3 วิธี หรืออาจจะมีเยอะกว่านี้ก็ไม่ทราบ แต่ผมมีประสบการณ์แค่นี้แหละ
แต่ก่อนอื่น ควรให้ทาง รพ หากรุ๊ปเลือดสัตว์เลี้ยงของก่อนครับ  จะได้หาชนิดที่ถูกต้อง

1. ซื้อเลือด ผ่านทาง โรงพยาบาลเอกชน ที่มีเลือดขาย ลองปรึกษากับหมอที่ดูแลสัตว์เลี้ยงของเราหลังผ่าตัดดู ว่าพอจะแนะนำ รพ ไหนที่มีเลือดสัตว์เลี้ยงจำหน่ายมั้ย  
กรณีของผม ที่ รพ สัตว์เกษตร ไม่มีขาย คุณหมอเลยแนะนำรายชื่อ รพ ที่อาจจะมีขายมาให้
เลือดถุงนึง ประมาณ 1 หมื่น ขึ้นไปครับ พอได้ยินราคา ผมก็เลยหาทางจากวิธีที่2และที่3แทน

2. รับบริจาค  จากคนรู้จัก หรือผ่านช่องทางโซเชียล เช่น โพสรับบริจาคในเฟซบุ๊คของตัวเอง หรือไล่ดูตามเฟซบุ๊คของห้างสรรพสินค้า หรือองค์กรเอกชนอื่นๆ เผื่อเค้ามีโครงการรับบริจาคเลือดอยู่

แต่ "วิธีที่ได้ผลดีที่สุด" คือเข้ากลุ่มรับบริจาคเลือดในเฟซบุ๊คที่มีอยู่หลายกลุ่ม มีคนใจบุญมากมายเยอะกว่าที่คิดครับ มีทั้งคนเสนอบริจาค คนที่ช่วยเอาโพสของเราไปแชร์
ตอนแรกผมก็ประหม่า ว่าจะขอรับบริจาคยังไงดี เพราะผมเป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบไม่ค่อยรู้จักใครเลยในชีวิตจริง (ฮา) แต่พอไปโพสว่าต้องการเลือด ก็มีคนสนใจจะช่วยพอสมควรครับ  แต่เนื่องจากตอนนั้นผมต้องแข่งกับเวลา ผมเลยใช้วิธีที่ 3 แทน

3. ซื้อเลือดจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงคนอื่นๆ
หลังจากไปโพสขอรับบริจาคเลือด ผ่านช่องทางโซเชียลแล้วคนที่จะติดต่อเข้ามา ก็มีทั้งคนใจบุญที่จะบริจาคให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 
และมีทั้งคนที่จะขอ "ค่าเสียเวลา" สำหรับการบริจาคเลือดด้วยครับ ซึ่งมีคนเสนอราคาตั้งแต่ 3000 ถึง 7500 ซึ่งผมก็ไม่ได้มองคนขายเลือดเป็นอาชีพในแง่ลบอะไรนัก เพราะอย่างน้อย เลือดที่ขายมา ก็ช่วยชีวิตสัตว์เลี้ยงได้มากมาย แต่หวังว่าเงินที่ได้ไป จะเอาไปใช้จ่ายให้สัตว์เลี้ยงที่เป็นเจ้าของเลือด ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ

หลังจากหาช่องทางการได้เลือดแล้ว ก็ต้องให้สัตว์ที่จะบริจาคเลือด ไปตรวจที่ รพ ที่สัตว์เลี้ยงเรารออยู่อีก 2-3 อย่างครับ อย่างนึงคือความเข้ากันของเลือดของสัตว์เลี้ยงทั้งตัวที่เป็นผู้รับและผู้ให้ อีกอย่างคือเช็คเรื่องประวัติการฉีดวัคซีน ถ้าไม่มีปัญหา รพ ก็อาจจะให้สัตว์เลี้ยงบริจาคเลือดตั้งแต่ตอนนั้นเลย

หลังจากได้เลือดพอเพียงจากผู้บริจาคตัวแรกแล้ว (กรณีผม ต้องการแค่ถุงเดียว โชคดีไป) ก็ต้องมารอลุ้นอีก ว่าหลังจากรับเลือดไปแล้ว สัตว์เลี้ยงจะสร้างเลือดให้ตัวเองพอหรือไม่ 
ถ้าเลือดยังถูกสร้างทดแทนไม่พอ ก็ต้องโพสขอรับบริจาคอีกรอบครับ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นเจ้าของกลุ่มเฟซบุ๊คและเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มรับบริจาคเลือดต่างๆด้วยครับ เป็นกลุ่มคนที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยไม่หวังอะไรตอบแทนจริงๆ

ปล. ถ้าใครโพสรับบริจาคเลือดผ่านFacebook แล้วโพสของเราไม่ขึ้นโชว์ในกลุ่มรับบริจาค ให้ส่งข้อความไปถามเจ้าของกลุ่มดูนะครับ เพราะตัวเว็ปเฟซบุ๊ค บางครั้งไม่ยอมให้โพสเนื้อหาแบบนี้ (เพื่อ?)  ผมก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน จนต้องส่งข้อความไปขอให้แอดมินกลุ่มช่วยโพสลงให้แทน

Wednesday, June 24, 2020

Tips of the day.

Tips of the day! เรื่อง: อย่าใช้ทางลัดในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ตัวเองสบาย

หลายครั้งหลายคราวที่คนในกลุ่มเฟซบุ๊ค หรือเว็ปบอร์ด (รวมทั้งตัวผมสมัยก่อนบางครั้ง) จะพยายามหา 'ทางลัด' ในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ตัวเองสะดวกโดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลกระทบต่อความสุขของสัตว์เลี้ยงรึเปล่า
เลยอยากแนะนำว่าถ้าใครอยากจะหา 'ทางลัด' แบบง่ายๆ เพื่อจะเลี้ยงสัตว์พวกนั้น เพราะตัวเองจะได้ไม่ต้องเจอกับความยุ่งยากอะไร เราควรหาสัตว์ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตของเราดีกว่าครับ

ในเว็ปนี้เต็มไปด้วยข้อมูลสัตว์ประเภทที่เลี้ยงไม่ยากหลายชนิด ก็น่าจะมีซักอย่างที่แต่ละท่านเลือกเลี้ยงได้โดยไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของพวกมัน ลองหาดูละกัน

ตัวอย่าง 'ทางลัด' ที่เห็นคนชอบใช้กันบ่อยๆ

- เลี้ยงงู โดยให้เนื้อหมู เนื้อไก่สดเป็นอาหาร แทนที่จะใช้หนูแช่แข็งที่มีสารอาหารครบ สุดท้ายงูเลยไม่แข็งแรง
- ถอนเล็บแมวแบบถาวร เพื่อให้แมวข่วนสิ่งของต่างๆในบ้านไม่ได้
- เลี้ยงหมาแมวแบบล่ามไว้ตลอดเวลา เพราะไม่มีพื้นที่เลี้ยง หรือไม่ต้องการให้มันเดินไปไหนมาไหน
- เลี้ยงเต่าบก แต่ไม่มีหลอดไฟ
- เลี้ยงแมงป่อง แต่ต้องการตัดหางออก เพื่อไม่ให้มันต่อยได้
- เลี้ยงแมงมุม ทารันทูล่า หรือกิ้งก่าจิ้งจก ด้วยหนอนอบแห้ง ซึ่งให้สารอาหารไม่ครบ
- เลี้ยงตะขาบแต่จะตัดเขี้ยวมัน เพื่อไม่ให้กัดเราได้
- ขลิบขนปีกนก ( อันนี้ 50/50 เพราะเป็นเรื่องถกเถียงกันในเมืองนอก ว่าอาจจะไม่ควรทำรึเปล่า เพราะอาจเป็นการทำร้ายจิตใจนก)
- เลี้ยงสัตว์ที่ต้องการพื้นที่กว้างๆอย่างแรคคูนในกรง
- เลี้ยง axolotl ในอุณหภูมิเกิน 26 องศา
- ซื้อตัวอะไรมา ก็เอาเลี้ยงในภาชนะที่ปูด้วยพื้นทรายข้างในทันที โดยไม่ศึกษาธรรมชาติของมัน ว่าควรเลี้ยงสัตว์ในสภาพแวดล้อมแบบไหน จะกิ้งก่า หนู นก กระต่าย เต่า ด้วง ตั๊กแตน กบ คางคก ก็เอาใส่ตู้ทรายหมด เพื่อความสวยงามของตู้ โดยไม่สนว่าสัตว์เลี้ยงจะต้องทรมานกับการหายใจเอาฝุ่นทรายเข้าไปในปอดตลอดเวลารึไม่ ลองคิดดูว่าขนาดฝุ่น PM2.5 เรายังตาลีตาเหลือก หาหน้ากากมาปิดจมูกกันเลยนะครับ
เรื่องพื้นทรายเป็นเคสที่เห็นบ่อยมาก ในสัตว์ทุก 10 ตัว จะโดนคนเลี้ยงในไทยยัดใส่ตู้ทรายซัก 8 ตัวเลยก็ว่าได้ ผมว่าคนไทยหมกมุ่นเรื่องการใช้ทรายกับสัตว์เลี้ยงเกินไป

Sunday, April 12, 2020

RIP

ขอไว้อาลัยคุณหมอโน คลินิก เจริญพงษ์สัตวแพทย์ ที่ตั้งอยู่ข้ามซอย อุดมสุข 60 ด้วยครับ

เป็นคลินิกสัตว์ ที่คุณหมอคิดค่าบริการถูกมาก บางครั้งก็ไม่คิดค่าบริการอะไรเลยด้วย ขอบคุณที่ดูแลแมวของผมและแมวของคุณป้าข้างบ้านมาโดยตลอด

เป็นการจากไปอย่างกระทันหันมาก คุณหมอยังดูหนุ่มอยู่เลย

Wednesday, February 19, 2020

หนูขนหนาม

หนูขนหนาม อียิปต์ (Egyptian Spiny Mouse)

หนูขนหนามอียิปต์ เป็นสัตว์ที่คล้ายกับหนูไมซ์ มีหน้ายาว หางไม่มีขน ถ้าจับส่วนหาง มันอาจสลัดให้หางหลุดเพื่อหนี จึงไม่ควรจับที่หางมัน หางจะไม่งอกออกมาใหม่
ลำตัวของหนูปกคลุมด้วยขนแหลมคล้ายหนามของเม่น จึงเป็นที่มาของคำว่า spiny (เต็มไปด้วยหนาม หรือออกแหลมๆ) ในชื่อ
ขนาดอยู่ระหว่าง 5-7 นิ้ว รวมหาง อายุขัยเฉลี่ย 3-5 ปี

หนูชนิดนี้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น และส่วนมากชอบงับมือคนเล่น  นานๆทีถึงจะเห็นตัวที่เรียบร้อยรักสงบ เวลาจะจับถือเล่นให้เอามือค่อยๆช้อนตัวมัน ห้ามดึงที่หางเพื่อถือมัน
แต่ควรเลี้ยงเอาไว้ดูเฉยๆดีกว่า เพราะมีความเสี่ยงว่ามันจะงับมือเอาได้ แต่บางเว็ปก็ว่า ต้องจับมันเล่นบ่อยๆถึงจะเชื่องเหมือนกัน
ถ้าเลี้ยงในห้องนอน หนูอาจวิ่งเล่นเสียงดังในตู้ตอนกลางคืน เพราะมันเป็นสัตว์หากินกลางคืน

เนื่องจากมีต้นกำเนิดในแถบทะเลทรายและที่แห้งแล้ง หนูขนหนามจึงไม่ถ่ายบ่อย และสร้างกลิ่นน้อยกว่าหนูชนิดอื่น
ความสามารถพิเศษของหนูขนหนาม ที่นักวิทยาศาตร์กำลังศึกษาอยู่คือ การสร้างผิวหนังและขนรวมทั้งต่อมเหงื่อขึ้นมาใหม่ หลังจากพวกมันสลัดเนื้อข้างหลังออกไปทั้งแผ่น เมื่อถูกสัตว์อื่นทำร้าย
ซึ่งยังไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดไหนที่ฟื้นฟูผิวหนังและขนได้เกือบสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลย

สถานที่เลี้ยง:
ควรเป็นตู้กระจก มีฝาตู้เป็นตาข่าย อุณหภูมิห้อง 27-29 องศา ปูพื้นด้วยขี้เลื่อยทำจาก Aspen (ดูที่ฉลาก) ห้ามใช้ขี้เลื่อยทำจาก Cedar หรือ pine
หรือใช้เศษกระดาษสะอาด และ paper towel (กระดาษทิชชู่ชนิดแผ่นใหญ่) มาปูพื้นร่วมก็ได้
นอกจากนี้ก็ใส่กระดาษกล่องแผ่นหนาๆให้แทะ และกล่องไม้ให้ซ่อนตัว ต้องใส่กงล้อวิ่งให้มันด้วย

ควรทำความสะอาดกรงบ่อยๆ เพื่อล้างกลิ่นแอมโมเนีย และกำจัดเชื้อโรค

อาหารและน้ำ:
เมล็ดพืชต่างๆ  และอาหารหนูสำเร็จรูปที่ประกอบด้วยเมล็ดพืช
ผลไม้เช่น แอบเปิ้ล ข้าวโพด แครอท
บางครั้งก็ให้อาหารมีชีวิตอย่างหนอนนก จิ้งหรีดบ้าง นอกจากนี้ก็สามารถให้พวกไข่ต้ม เนื้อไก่ต้มได้
น้ำ ใส่ในกระบอกแขวนให้มันดูดกิน

Tuesday, August 20, 2019

ประสบการณ์โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา

ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆกับ โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา

เนื่องจากจู่ๆวันนึงแมวของผมก็เป็นโรค เชอร์รี่ อาย Cherry eye ขึ้นมา ก็เลยต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ
เลยขอเล่าประสบการณ์คร่าวๆ เผื่อใครยังไม่เคยไปใช้บริการ จะได้ทราบขั้นตอนครับ

ข้อมูลทั่วไป

1. หลักๆแล้วเราจะต้องติดต่อกับอาคารสองแห่งที่อยู่ติดกัน อาคารแรกคือเวชระเบียน สำหรับติดต่อรับบัตรคิวพบหมอ รวมทั้งเป็นสถานที่จ่ายเงินด้วย
เวลามา รพ. ทุกครั้ง ต้องมาอาคารเวชระเบียนนี้ก่อน ไม่ว่าจะมีใบนัดหรือไม่ก็ตาม และถ้ายังไม่มีประวัติก็ต้องมาลงทะเบียนที่นี่เช่นกัน
ส่วนอีกอาคารจะเป็นสถานที่รักษา รวมทั้งผ่าตัด

ควรไปถึงไม่เกิน 8โมงครึ่ง ไม่งั้นจะได้คิวท้ายๆ ไปถึงซัก 7โมงได้ยิ่งดี

2. ที่นี่มี คลินิกสัตว์เลี้ยงพิเศษ ที่รับรักษาสัตว์เลี้ยงแปลกๆด้วย แต่ไม่รู้ว่าอยู่อาคารเดียวกับที่รักษาหมาแมวหรือไม่
เอาเป็นว่าก่อนจะมา ลองโทรถามดูก่อน เบอร์โทรอยู่ข้างล่าง

3. ตัวโรงพยาบาลอยู่ถนนอังรีดูนัง ถ้าขึ้นแท๊กซี่ก็บอกเค้าให้มาถนนนี้ สามารถลงจากทางด่วนมาถึง รพ. ได้ทั้งเพชรบุรี พระราม4 และหัวลำโพง ผมนั่งรถจากบางนาถึงรพ. ค่ารถราวๆ 170-230 บาท แล้วแต่วัน ไม่รวมค่าทางด่วน 50 บาท

4. โรงพยาบาลเปิดทุกวัน วันหยุดนักขัตฤกษ์ก็เปิด!!(ผมไปตอนวันแม่มา) แต่วันหยุดแบบนี้คุณหมอจะมาไม่ครบ คิวจะนานหน่อย และไม่รู้ว่ารับเฉพาะคนที่มีใบนัดรึเปล่า

5. ถ้าหมาหรือแมวต้องผ่าตัด ควรพกทิชชู่หรือกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่ไปด้วย เพราะก่อนผ่าจะมีขั้นตอนฉีดยาที่ทำให้สัตว์เลี้ยงเราอาเจียนออกมา และสถานที่ที่ฉีดก็คือตรงจุดที่ทุกคนนั่งรอระหว่างผ่าตัดกัน จึงต้องช่วยกันรักษาความสะอาด

6. ถ้าหิวระหว่างรอคิวหมอ มีร้านขายอาหาร กับพวกขนมปัง และกาแฟอยู่สองร้าน ร้านแรกตรงหน้าปากทางเข้าใกล้กับถนนใหญ่ ส่วนอีกร้านอยู่ชั้น2ของอาคารรักษา ติดกับแผนกจักษุ

การรักษา Cherry eye ของแมวผม
- วันแรกได้ตรวจกับหมอแผนกทั่วไป และโดนจับเอ็กซ์เรย์เพื่อดูว่าสุขภาพดีพอจะรับยาสลบตอนผ่าตัดได้มั้ย
นอกจากนั้นก็ได้ยามาทาและกิน 1 อาทิตย์ ผมเดาว่าที่หมอให้ยา เพราะหมอคงเผื่อว่าจะไม่ใช่เชอรี่อาย แต่เป็นแค่ตาอักเสบ และนัดตรวจอีกครั้ง 7 วันข้างหน้า
วันแรกผมใช้เวลามากสุด เพราะต้องไปแผนกX-ray ที่คิวยาวและรอผลนาน ส่วนวันอื่นๆกินเวลาแค่1-2 ชั่วโมง

- หนึ่งอาทิตย์ต่อมา แมวก็ยังมีอาการเดิม คราวนี้เลยได้ไปที่แผนกจักษุชั้น 2 และได้นัดวันผ่าตัดอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ซึ่งคุณหมอที่ตรวจจะเป็นคนผ่าเอง

- ระหว่างรอให้ถึงวันผ่าตัด ก็ใจระทึกด้วยความกังวลตลอด ว่าแมวอาจไม่ฟื้นจากยาสลบก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นมีข่าวคนเสียชีวิตเพราะยาสลบระหว่างผ่าตัด
ผมเลยต้อง search Google อยู่บ่อยๆ เพื่อดูข้อมูลปลอบใจตัวเองว่าโอกาสที่แมวจะเสียชีวิตเพราะยาสลบนั้นมีน้อยมาก เว้นแต่ว่าแมวจะอายุเยอะ จึงจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง

- คืนก่อนวันผ่าตัด ต้องงดอาหารแมวตั้งแต่ 2 ทุ่ม ส่วนน้ำ งดตั้งแต่ 4 ทุ่มหรือเที่ยงคืนนี่แหละ แมวร้องโหยหวนขออาหารตลอด เลยต้องขังไว้ในห้องนึงพร้อมกับกะบะทราย

- วันผ่าตัด ต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นของห้องผ่าตัด และจุดนั่งรอ  หลังจากเอาเอกสารใส่ตระกร้าหน้าห้องผ่าตัด  ก็หอบแมวไปอยู่ตรงจุดนั่งรอ แล้วซักพักหมอก็จะมาฉีดยาซึ่งจะทำให้แมวอ้วกและซึม
อีก 20 นาทีต่อมา หมอก็จะพาแมวเข้าห้องผ่าตัด ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง จำได้ว่าออกมาเร็วกว่าที่คิดมาก
ระหว่างรอ บรรยากาศจะหดหู่หน่อยๆ เพราะจะมีเจ้าของสัตว์เลี้ยงตัวอื่นนั่งรออยู่เหมือนกัน มีทั้งคนสวดมนต์ภาวนาให้กับสัตว์เลี้ยงที่กำลังผ่าตัด บางเคสก็เป็นหนักจนรู้สึกว่าปัญหาของเรานั้นเบาไปเลย

- พอหมอส่งคืนแมว รวมทั้งให้คำแนะนำหลังผ่าตัดและการกินยา ก็ลงไปจ่ายเงินชั้นล่าง และเอาใบเสร็จกลับมาที่ชั้น 6 เหมือนเดิม

-หมอนัดตรวจวันต่อมาหลังจากวันผ่าตัดเลย หลังจากนั้น ก็ข้ามไป 7 วัน และข้ามไปอีก 14 วันเป็นครั้งสุดท้าย

-รวมทั้งหมดผมได้ไปโรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา 6 ครั้ง สำหรับโรค cherry eye หนึ่งโรค

-หลังผ่าตัดไม่ต้องพาแมวไปทำแผลที่ไหน แค่หยอดยาให้ทุกวัน


ภาพประกอบผู้ต้องหา

ค่าใช้จ่าย
1. วันที่ไม่มียา ไม่เกิน 600
2. วันที่มียา 700-900
3. มียา+เอ็กซ์เรย์ 1000-1400
4. ผ่าตัด 4000-5000 ถ้าจำไม่ผิด

เบอร์โทร 02-2189715
จ- ศ เวลาทำการ 8.00-15.00
ส-อ เวลาทำการ 8.30-11.00  *วันเสาร์อาทิตย์อาจต้องจ่ายแพงกว่าปรกติ

Friday, August 2, 2019

เฟนเน็คฟ็อกซ์ ( Fennec Fox )


วิธีเลี้ยง เฟนเน็คฟ็อกซ์ ( Fennec Fox ) จิ้งจอกจิ๋วหูยาว

บทความนี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็ปต่างประเทศนะครับ ประสบการณ์การเลี้ยงในไทยอาจจะมีหลายเรื่องที่ต่างออกไป ผู้อ่านควรไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่เคยเลี้ยงเอาเอง

เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นจิ้งจอกชนิดที่เล็ก อายุขัยเฉลี่ย 10-16 ปี หนักไม่ถึง 1.5 กิโลกรัม (เบากว่าที่คิดมาก แมวผมหนัก 4.6 กิโล) ขนาดตัวใกล้เคียงกับแมวหรือหมาพันธุ์ชิวาว่า
นิสัยโดยรวมอยู่ก้ำกึ่งระหว่างหมากับแมว พวกมันบางครั้งก็ชอบอยู่อย่างสันโดษเหมือนแมว บางเวลาก็คึกคักขี้เล่นเหมือนหมาน้อยตัวหนึ่ง
ตอนเลี้ยงจะมีทั้งเวลาที่มันนอนอยู่บนตักเราเฉยๆ หรือซนเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนมากมันจะคึกตอนได้ออกจากกรง พอหมดแรงแล้วถึงจะมายอมอยู่ใกล้กับเจ้าของ แต่โดยรวมแล้วถือเป็นสัตว์ที่ชอบวิ่งพล่านไปทั่วมากกว่าจะเป็นตุ๊กตานิ่งๆให้จับลูบเล่น
ตัวผู้ที่ทำหมันแล้ว จะเชื่องง่ายกว่าตัวเมีย และขี้อ้อนมากกว่า  ส่วนตัวเมียจะออกขี้ตกใจและขี้กลัวนิดๆ
การทำหมันตัวผู้จะทำให้กลิ่นฉี่มันแรงน้อยลง แต่ตัวเมียไม่มีผลอะไร

เฟนเน็คฟ็อกซ์มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น และซุกซนมาก จึงอาจสร้างความเสียหายแก่ข้าวของในบ้านได้ ถ้าไม่จับตาดูให้ดี
เวลาเราไม่อยู่บ้านจึงควรเอามันใส่กรงสุนัขขนาดใหญ่พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้พวกมันยังชอบขุดและกระโดดเก่ง ถ้าหลุดไปจากบ้านเมื่อไหร่ ก็เรียกว่างานเข้าเลย เพราะมันทั้งเร็วและหูดี โอกาสจะตามกลับมาได้ มีน้อยมาก
เป็นสัตว์ที่ต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ผู้เลี้ยงเลยต้องใช้เวลาร่วมกับมันมากกว่าสัตว์เลี้ยงที่ดูแลง่ายชนิดอื่น โชคดีที่เวลาหลับของมันค่อนข้างยาว คนเลี้ยงจึงมีเวลาส่วนตัวบ้าง
เฟนเน็คฟ็อกซ์บางตัวจะชอบมาคลอเคลียอยู่ตรงขาของคนเลี้ยงโดยที่เราไม่ทันสังเกต จึงต้องระวังอย่าเผลอเดินเหยียบมันเข้า

หลังจากได้เฟนเน็คฟ็อกซ์มาเลี้ยง อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันหน่อย มันถึงจะเริ่มคุ้นเคยกับคนและเข้ามาเล่นด้วย หรือบางกรณีก็ใช้เวลาเป็นเดือนเลย
พวกมันจะเชื่องได้กับทุกคนในครอบครัวของผู้เลี้ยง รวมทั้งหมาแมวในบ้าน แต่ถ้ามีเด็กเล็ก ก็คอยจับตาดูอย่าให้ไปแหย่จิ้งจอกจนโดนกัดเข้า 
เวลาที่มันอ้อนบางตัวจะชอบให้เกาพุง บางตัวชอบให้ลูบหูเบาๆ
ข้อควรระวัง - ถ้าในบ้านเลี้ยงหนูหรือนก ต้องเก็บให้อยู่ห่างๆมัน ไม่งั้นโดนเขมือบแน่

กลิ่น: สัตว์ชนิดนี้มีกลิ่นตัวน้อย ยกเว้นตอนที่มันกลัวมากๆ มันจะปล่อยกลิ่นสาบแรงออกมาทางหาง
ส่วนกลิ่นอึฉี่จะค่อนข้างแรง จึงต้องให้ห้องน้ำของมันสะอาดตลอดเวลา

เสียง: เฟนเน็คฟ็อกซ์จะส่งเสียงร้องเมื่อมีความสุขหรือตื่นเต้นดีใจ และบางตัวจะร้องโหยหวนถ้าไม่มีใครอยู่ในห้องเดียวกับมันเลย เป็นสัตว์ที่สร้างเสียงบ่อยพอสมควรจนอาจไม่เหมาะกับคนที่รักความสงบ
ตอนกลางคืนพวกมันจะสร้างเสียงดัง จึงควรเอาใส่กรงตอนเรานอน และให้อยู่ห่างๆห้องนอนไว้ หรือจะให้ดีก็ให้มันมีห้องเล็กๆส่วนตัวเลยดีกว่า
ไม่ควรปล่อยมันอยู่ในห้องนอนของเราตอนเราหลับ เพราะมันอาจจะกินข้าวของเล็กๆจนติดคอได้ หรือเดินเหยียบหน้าเราบนที่นอนด้วยเล็บที่แหลมคม


อาหาร:
อาหารของมันประกอบไปด้วยทั้งเนื้อและพืชผัก แต่เน้นไปทางโปรตีนและทอรีนมากกว่า  ห้ามให้แต่ผักผลไม้อย่างเดียวแก่มันเป็นอันขาด
เมื่อปี 2018 เคยมีข่าวดังไปทั่วโลกว่า หญิงวัยรุ่นคนนึงบังคับให้เฟนเน็คฟ็อกซ์กินแต่อาหารมังสวิรัติ จนมันผอมแห้งเหลือแต่กระดูก สุดท้ายก็ถูกคนทั่วโลกด่าประจานไปมากมาย

การให้อาหารผู้เลี้ยงบางคนให้เป็น อาหารสุนัขผสมกับอาหารแมว ร่วมกับผักผลไม้   เลือกอาหารสุนัขและแมวที่มีส่วนผสมของ ทอรีน (taurine) และเนื้อสูงๆ แต่ละมื้อควรมีสัดส่วนของอาหารแมวมากกว่าอาหารสุนัข

หรือบางคนก็ใช้สูตรอื่นคือ เนื้อไก่/หมู/วัวสด หรือหนูแดง ร่วมกับผักผลไม้เช่น บร็อคโคลี่ ส่วนผลไม้ที่มันชอบมากคือเชอร์รี่  และเบอร์รี่ 
พวกเนื้อถ้าปรุงให้สุก จะมีทอรีนน้อยลง จึงควรให้สดๆดีกว่า

สูตรสุดท้ายคือ  ให้อาหารไม่เหมือนกันทุกวัน วันนึงเป็นอาหารเม็ดหมาแมว วันนึงเป็นอาหารเปียกหมาแมวกระป๋อง  อีกวันเป็นเนื้อสด ซึ่งการให้อาหารแบบนี้จะทำให้จิ้งจอกได้รับสารอาหารหลากหลายมากกว่าการให้อาหารแบบเดิมทุกวัน

อาหารเสริม: ไข่ต้มหรือไข่ดิบ หนอนนก หนอนsilk worm จิ้งหรีด มะเขือเทศเชอรี่
นอกจากนี้ เชอร์รี่ และแครนเบอรี่ ก็ช่วยลดกลิ่นฉี่ของจิ้งจอกด้วย

อาหารที่ไม่ควรให้: แครอท ข้าวโพด(ไม่ย่อย เลยไม่มีประโยชน์)  ธัญพืช องุ่น กระดูก ช็อกโกแลต พริก กระเทียม
เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นสัตว์ที่ติดของหวานมาก เช่น ลูกอม คุกกี้ แต่เราก็ไม่ควรให้อาหารพวกนี้เลย

น้ำ: ใส่ในถ้วยเล็กๆไว้ตลอดเวลา หรือ กระบอกดูดน้ำ

สถานที่เลี้ยง:
กรงยิ่งใหญ่ยิ่งดี มันจะได้มีพื้นที่ให้เล่นซุกซนตามประสาในตอนกลางคืนได้  จะเป็นกรงหมาใหญ่ๆก็ได้ หรือเป็นกรงเฟอเร็ตใหญ่ๆที่มีหลายชั้นก็ได้
เมื่อปล่อยออกมานอกกรง ควรให้อยู่ในห้องที่ไม่มีข้าวของเล็กๆอยู่ตามพื้น บนชั้นไม่มีของที่แตกหักง่ายเพราะมันอาจกระโดดปีนขึ้นไปได้ ส่วนสายไฟและปลั๊กไฟก็ต้องอยู่สูงเกินเอื้อมหรือมีอะไรปิดไว้
แต่จะให้ดีที่สุดก็ยกห้องเล็กๆไม่มีข้าวของอะไรให้มันอยู่ไปห้องนึงเลย

การขับถ่าย:
เราสามารถฝึกให้พวกมันขับถ่ายเป็นที่ในกระบะได้ ด้วยการชมมันทุกครั้งที่มันขับถ่ายตรงจุดที่เราต้องการ หรือให้ขนมเป็นรางวัล
เมื่อเห็นว่ามันจะอึหรือฉี่ให้รีบอุ้มมันไปที่กระบะเลย แล้วมันจะเริ่มจำได้ว่าควรขับถ่ายตรงไหน
เอามูลที่อยู่ตามพื้นมาวางไว้บนกระบะ เพื่อเป็นตัวอย่างให้มันดู
อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ถึงจะฝึกให้ขับถ่ายเป็นที่ได้ บางตัวก็ฝึกไม่ได้เลย และต้องใส่ผ้าอ้อมไว้ตลอด เพื่อไม่ให้อึฉี่เลอะบ้าน
ในกระบะขับถ่ายใส่ทรายแมวที่ "นุ่มๆ" หรือ กระดาษหนังสือพิมพ์

ข้อควรระวัง:
- เฟนเน็คฟ็อกซ์ ที่ถูกขังในกรงมากเกินไปจะก้าวร้าว และชอบวิ่งซนทำลายข้าวของมากกว่าปรกติ
- ห้ามตวาด หรือด่าว่าพวกมันด้วยเสียงดังเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเพราะพวกมันขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือ ทำของเสียหาย ไม่อย่างนั้นมันจะเริ่มแขยงคน และทำพฤติกรรมต่อต้าน

Monday, March 4, 2019

แรคคูน เลี้ยงได้รึไม่?

ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศหลายคนลงความเห็นว่า มันเป็นสัตว์ที่พอจะเอามาเลี้ยงได้ แต่อย่าเลี้ยงเลยจะดีที่สุด
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของมันจะดูน่ารัก น่ากอด แถมในหนังดังอย่าง Guardians of the Galaxy ก็มีตัวละครเด่นเป็นแรคคูนจากต่างดาว ให้หลายคนอยากมีสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ไว้ในครอบครองมากขึ้น
แต่การเลี้ยงพวกมันกลับยุ่งยากเป็นอย่างมาก และคนเลี้ยงต้องแบ่งเวลามาดูแลมันมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น นอกจากนี้มันสามารถติดโรคพิษสุนัขบ้าได้ด้วย
มีหลายรัฐในอเมริกา ที่ห้ามเอาแรคคูนมาเลี้ยง บางรัฐก็ให้เลี้ยงได้ แต่ต้องขออนุญาตก่อน

อายุขัยเฉลี่ย: 10-15 ปี

พฤติกรรม:
แรคคูนเป็นสัตว์ที่ฉลาด ตื่นตัวเสมอ และชอบการเข้าสังคม แม้ว่าพวกมันจะทำตัวเชื่องกับคนเลี้ยงได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไหร่ มันสามารถทำลายข้าวของทุกอย่างในบ้านในพริบตาด้วยความซุกซนของมัน
มือของแรคคูนมีการพัฒนามากกว่าสัตว์ชนิดอื่น  พวกมันจึงสามารถเปิดฝากล่อง ฝาของโหล และปลดล็อคสิ่งต่างๆเช่นประตูได้ง่ายๆ เพราะอย่างนี้แรคคูนที่อยู่ในบ้านโดยไม่มีคนดูแลจึงเท่ากับหายนะดีๆนี่เอง

ข้อดีไม่กี่อย่างของความฉลาดของแรคคูนคือ เราสามารถฝึกให้มันถ่ายขับเป็นที่ได้ และเป็นสัตว์ที่เลี้ยงให้เชื่องและติดเจ้าของได้ พวกมันตอบสนองกับคำพูดของคนเลี้ยงบางคำได้เหมือนสุนัขและแมว
แต่ส่วนมากพวกมันจะใช้ความฉลาดของพวกมันมาทำเรื่องแสบๆภายในบ้านซะมากกว่า

สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์หากินยามกลางคืน ซึ่งหมายความว่า แรคคูนจะคึกคักในเวลาที่คนเราหลับ บางตัวจะชอบทำร้ายสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นที่เล็กกว่า เช่นแมวหรือกระต่าย แต่ก็มีบางคนบอกว่ามันเข้ากับสุนัขตัวใหญ่ได้ดี
แรคคูนแต่ละตัวมีนิสัยต่างกัน มีทั้งตัวที่ก้าวร้าว ขี้กลัว เป็นมิตรกับคน หรือขี้สงสัย

สถานที่เลี้ยง:
พวกมันไม่ชอบอยู่ในกรงมากๆ เวลาเลี้ยงจึงต้องปล่อยให้มันวิ่งเล่นภายในบ้านตลอด ส่วนเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้านก็ให้มันอยู่ในกรงสุนัขไซส์ใหญ่มาก หรือไม่ก็ยกห้องให้มันห้องนึงเลย
แรคคูนจะใช้เวลาของมันผจัญภัยในบ้านของคนเลี้ยง ทั้งปีนป่าย แทะสายไฟ ปีนตู้ ทำข้าวของหล่นแตก ดึงกระดุมออกจากเสื้อผ้า คนเลี้ยงจึงต้องจัดข้าวของภายในบ้านให้ห่างไกลมือมัน
ในที่เลี้ยงต้องมีของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงให้มันเล่น เอาขนมใส่ถุงกระดาษหรือขวดพลาสติกปากกว้างให้มันคุ้ยเขี่ยเล่นและจดจ่อจนไม่มีเวลาไปซนที่อื่น และต้องมีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ให้มันปีนป่ายเล่น

แรคคูนที่ถูกเลี้ยงในกรงแคบๆตลอดเวลาจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดุร้ายมาก

อาหาร:
สถานที่เลี้ยงต้องมีถ้วยใส่อาหาร และถ้วยใส่น้ำวางไว้ตลอดเวลา
แรคคูนกินได้หลายอย่างทั้งเนื้อและพืชผักผลไม้ อาหารสุนัข(ไม่ผสมธัญพืช) เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ไก่ต้ม ถั่ว หนอน แมลง สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก และแหล่งโปรตีนอื่นๆ
ในวันนึงอาจจะให้เป็นอาหารสุนัข ปนกับอาหารเสริมอย่างที่กล่าวมาข้างบน วันละ 2-3 ครั้ง อย่าให้มากเกิน เพราะจะทำให้อ้วน

เวลาให้อาหารกินเล่นต่างๆเช่น ถั่่ว เมล็ดพืช  หนอน จิ้งหรีด แนะนำให้ใส่ในภาชนะที่มันต้องขุดคุ้ยควาญหาเช่นโหลพลาสติก เพื่อเป็นการจำลองการหาอาหารในธรรมชาติของมัน
และช่วยให้มันไม่เบื่อจนไปทำลายข้าวของเล่นด้วย

แรคคูนจะหยิบอาหารไปจุ่มกับน้ำในถ้วยใส่น้ำก่อนจะกิน ทำให้บริเวณที่กินอาหารเลอะเทอะ และต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ
เหตุผลที่มันเอาอาหารไปจุ่มน้ำ เป็นเพราะพวกมันจะใช้ประสาทการรับรู้ที่มือตรวจสอบสิ่งที่มันชุบน้ำ ว่ากินได้หรือไม่

Thursday, February 28, 2019

Leachianus Gecko

Giant Leachianus Gecko / New Caledonian Giant Gecko

ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhacodactylus Leachianus หรือ R. l. leachianus และอีกชนิดคือ  R. l. henkeli.
ระดับความยุ่งยากในการเลี้ยง: ค่อนข้างสูง

เป็นสัตว์ตระกูล Gecko ชนิดที่ใหญ่ทีสุดในโลกในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะ นิวแคลิโดเนีย (New Caledonia) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับออสเตรเลีย
ขนาดของ R. l. leachianus อยู่ระหว่าง 14-17 นิ้วรวมหาง ส่วน R. l. henkeli. อยู่ที่ 9-12 นิ้ว  สีของทั้งสองชนิดมีหลากหลาย ทั้งแต่สีเขียวตะไคร่ สีน้ำตาล สีทอง และเทา
อายุขัยเฉลี่ย: มากถึง 20 ปี หรือนานกว่านั้น เคยมีคนเอาตัวที่โตแล้วมาเลี้ยงได้ถึง 30 ปี(ยังไม่นับอายุขัยก่อนที่จะเอามาเลี้ยง)

พฤติกรรม:
พวกมันสามารถส่งเสียงร้องได้หลายรูปแบบในเวลากลางคืน และสื่อสารกับตัวอื่นด้วยเสียง
เก็กโคชนิดนี้จะหลับตอนกลางวัน และออกเดินสำรวจในตู้เวลากลางคืนอย่างคึกคัก

Tips การจับและถือสัตว์ชนิดนี้:

ตัวที่ยังเด็กๆ จะชอบกระโดดออกจากมือเรา จึงต้องระวัง ส่วนตัวโตให้เอามือจับบริเวณคอและเอาอีกมือประคองใต้ขามัน ก่อนจะปล่อยให้มันอยู่บนมือ
ควรจับพวกมันตอนเผลออย่างรวดเร็ว อย่าให้มันเห็นการขยับมือของเรามาแต่ไกล ไม่งั้นเก็กโคอาจรู้สึกกลัวและพุ่งกัดได้ ซึ่งเจ็บพอสมควร เพราะอย่างนี้ถุงมือหนาๆจึงช่วยลดอันตรายได้
พวกมันจะเริ่มกลัวน้อยลง หลังจากเราฝึกให้มันอยู่บนมือ(อย่างเบาๆทะนุถนอม)เรื่อยๆ และจะยอมให้จับง่ายขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีบางตัวที่ไม่ชอบขึ้นมือคนเลยเหมือนกัน
เวลาเก็กโคอยู่บนมือไม่ควรห่อมือหรือใช้นิ้วจับมันไว้ ให้ทำมือเหมือนเป็นกิ่งไม้สำหรับเกาะ ถ้ามันทำท่าเตรียมกระโดดหรือเดินไปเรื่อยๆ ก็ให้ยื่นมืออีกข้างมารองรับ


อาหารและน้ำ:
สามารถให้อาหารสำเร็จรูปของ crested gecko กินได้(ยี่ห้อ Repashy Superfoods) สั่งซื้อได้จากอเมซอน ebay หรือจตุจักรบางร้าน
นอกจากนี้ก็ควรให้จิ้งหรีด หรือแมลงสาบDubia และ waxworm คลุกกับแคลเซียม D3 และวิตามินกับผงแร่ธาตุ ส่วนมากมันจะไม่สนจิ้งหรีดเท่าไหร่ จะชอบแมลงสาบมากกว่า
ขนาดของแมลงที่จะให้ ให้เลือกขนาดประมาณระยะห่างของลูกตาของ Leachianus Gecko

ผู้เลี้ยงบางเว็ปจะให้อาหาร 4 ครั้งต่อวัน เป็นอาหารสำเร็จรูปวันเว้นวัน(เช่น จันทร์ พุธ ศุกร์) พวกเก็กโคชอบกินอาหารสำเร็จรูปที่เริ่มสุกงอมหลังจากทิ้งไว้ข้ามคืน
ส่วนวันอาทิตย์จะให้แมลงคลุกผงแคลเซียม ควรให้อาหารเวลากลางคืน
ควรมีถ้วยหรือถาดตื้นๆ ใส่น้ำสำหรับดื่มตลอดเวลา

เก็กโคที่พึ่งเกิดจะไม่กินอาหารราว 3-5 วันหลังจากฟักตัว หลังจากนั้นเราถึงสามารถเอาอาหารสำเร็จรูปเทไว้ในจานเตี้ยๆให้มันกิน คู่กับ จิ้งหรีดตัวเล็กคลุกผงแคลเซียม+วิตามิน

*คำเตือน* ห้ามให้อาหารเด็กทารกกับเก็กโคพวกนี้ ไม่งั้นมันจะโตขึ้นอย่างพิกลพิการ เพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น

สถานที่เลี้ยง:
แม้ว่าถิ่นกำเนิดของมันจะมีอุณหภูมิระหว่าง 15 องศา ถึง 32 องศาเซลเซียส แต่หลายเว็ปแนะนำให้ควบคุมอุณหภูมิเลี้ยงอยู่ที่ 22-27 องศา

ตู้เลี้ยงควรเป็นตู้ทรงสูงข้างบนเป็นตาข่าย/มุ้งลวด ขนาด 18 x 18 x 24 เป็นอย่างต่ำ ควรเลี้ยงแค่ 1 ตัว ต่อตู้  สำหรับตัวที่ยังเด็กให้เลี้ยงในตู้ที่เล็กกว่านี้เพราะถ้าอยู่ที่ใหญ่ไป มันจะเครียด
ในตู้ควรมีที่ซ่อนเป็นวัสดุรูปร่างเหมือนกระบอกกลวงๆ ทำจากเปลือกไม้ หาได้จากร้านใหญ่ๆในจตุจักร หรือจะใช้ท่อ pvc หรือ กระบอกไม้ไผ่ก็ได้  และต้องมีกิ่งไม้หรืออะไรให้มันปีนป่ายด้วย

วัสดุรองพื้น ใช้เป็นพีทมอส ขุยมะพร้าว ดินออกานิก ปูหนาสองนิ้ว หรือมากกว่านั้น
เนื่องจาก Leachianus Gecko อยู่ในตระกูลเก็กโค สถานที่เลี้ยงเลยไม่จำเป็นต้องมีพวกหลอดไฟUVใดๆ

ความชื้นในที่เลี้ยงอยู่ระดับ 50-80% อากาศในไทยทั่วไปก็ราวๆนี้อยู่แล้ว ผมเลยไม่แน่ใจว่าต้องคอยฉีดละอองน้ำใส่ตู้อาทิตย์ละสามสี่ครั้งเหมือนเว็ปฝรั่งมั้ย
ถ้าจะฉีดละอองน้ำ ก็พยายามฉีดให้โดนผนังตู้มากกว่าของตกแต่งในตู้อื่นๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคก่อนตัวจากมุมอับชื้น

เก็กโกพันธุ์นี้เป็นโรคผิวหนังง่ายและส่งผลให้มันตาย จึงต้องระวังไม่ให้ตู้เลี้ยงหมักหมมหรือชื้นเกินไป