Monday, August 26, 2024

สัตว์เลี้ยงเวอร์ชวล Tamagotchi uni


ทามาก็อตจิ เป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับคนที่อยากมีสัตว์เลี้ยงแบบที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก
ในต่างประเทศเรียก สัตว์เลี้ยงเสมือนจริงแบบนี้ ว่า Virtual pet (ชื่อย่อV-Pet) มากกว่าจะเรียกว่า Digital pet (สัตว์เลี้ยงดิจิตอล) เหมือนในไทย

ทุกปีสองปี Tamagotchi ก็จะมีรุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ แต่ละรุ่นก็จะมีลูกเล่นต่างกัน(ถ้าใครเล่นเกมโปเกมอน ก็จะรู้ว่าแต่ละภาคจะมีจุดขายใหม่ตลอด) และรุ่นล่าสุด ก็คือ Tamagotchi Uni ออกปี 2023
ส่วนรุ่นอื่นๆที่หาได้ในไทยก็ Tamagotchi Pix ซึ่งว่ากันว่ามีเนื้อหาครบเครื่องกว่า Uni กับ พวกรุ่นจอขาวดำ ที่ทำมาขายใหม่อย่าง Gen1 Gen2

ราคาของ ทามาก็อตจิ ยูนิ ผมเจอราคาถูกสุดคือ 2,054 บาท จากร้านหนังสือ Kinokuniya(เดือน8/2024)
ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ Dreamtoy เอามาลงขายตามเว็ปและแอปขายของดังๆ ในราคาที่ถูกกว่าคิโนะ แต่ตอนนี้หมดแล้วครับ ทำให้ตามเว็ปพวกนั้น เหลือแต่เจ้าที่ขายราคาค่อนข้างแพง
แต่ถ้าหาตามกลุ่มซื้อขายทามาก็อตจิใน Facebook ก็อาจจะได้ถูกกว่านี้
ส่วนรุ่นจอขาวดำจะถูกกว่ามาก ราคาไม่กี่ร้อยเองครับ

ในกล่อง จะใส่ทามาก็อตจิมาพร้อมกับสายนาฬิกา แต่ตัวสายถอดออกได้ จนเหลือแต่ตัวเครื่องกลมๆ
ความประทับใจแรก ของรุ่น Uni คือ จอภาพสีสันสวยงามมากก ขนาดผมชินกับภาพเกมสวยๆบนมือถือแล้ว ยังรู้สึกว่ามันสวยทุกครั้งที่มองเลย ตัวทามาก็อตจิเอง ก็ขยับตัวได้หลายแบบ ดูไม่เบื่อเลย
ตัวละครบางตัวมีเสียงพูดเป็นภาษาต่างดาวให้ได้ยิน ฟังแล้วน่ารักดี

ปุ่มกดก็ใช้งานง่าย ผมสามารถใช้มือเดียว จัดการทุกอย่างในเครื่องได้สบาย เมนูเข้าใจง่าย เพราะถูกออกแบบมาให้เด็กเล่น

ทามาก็อตจิแต่ละตัว จะมีนิสัยต่างกัน มีทั้งขี้อาย คึกคัก สบายๆ หรือ เอาแต่ใจ ซึ่งนิสัยของแต่ละตัวจะแสดงออกมาเป็นท่าทางในสถานการณ์ต่างๆ เช่นตอนอยู่เฉยๆในห้อง ตอนโต้ตอบกับคนเลี้ยง ตอนไปเจอตัวอื่นๆผ่านเน็ต
และทุกวันตอน1ทุ่ม พวกมันก็จะถ่ายชีวิตประจำวันของตัวเองไปโพสลงโซเชียลด้วย
เราสามารถกดขอ QR โค้ด จากตัวเครื่อง เพื่อโหลดรูปจากโซเชียลของทามาก็อตจิ มาเก็บลงมือถือเราได้

วิธีการดูแล ก็มีทั้งให้อาหาร ขนม อาบน้ำ ล้างอึ และเล่นเกมเพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารและขนมดีๆ
ทามาก็อตจิ พอโตแล้วจะไม่ชอบกินอาหารแบบฟรีๆ ที่มีให้กินไม่อั้น เราต้องพามันเล่นเกมผ่านเมนู Arcade เพื่อหาเงินมาสั่งซื้ออาหารหรูๆจาก Delivery  หรือของตกแต่งต่างๆ
เกมที่เล่นได้ จะมีอยู่ 6 เกม มีสองเกมที่เล่นได้ตลอด ส่วน อีก 4 เกม จะวนให้เล่นไปตามฤดูกาล นอกจากนี้ก็มีเกมอื่นๆอีกในโหมด Tamaverse และจากเนื้อหาเสริม

รุ่น Uni จะมีข้อดีตรงที่ว่า ตัวสัตว์เลี้ยง จะไม่เรียกร้องให้เราดูแลบ่อยมาก เหมือนรุ่น Pix  ยกเว้นช่วงชั่วโมงแรกที่พึ่งฟักมาจากไข่ ต้องให้อาหารถี่หน่อย

ถ้าวันไหนเราไม่มีเวลาเล่นหาเงินในเครื่องเพื่อซื้ออาหารที่ถูกใจทามาก็อตจิที่โตแล้ว ก็ยัดอาหารฟรีให้ก็ได้ครับ แต่จะทำให้ค่าความสุขลดลง ซึ่งก็แก้ด้วยการให้กินขนมฟรีๆอย่าง Jelly Bean เพื่อดึงค่าความสุขกลับขึ้นมา

สำหรับเจ้าของที่ต้องไปทำงาน และพกทามาก็อตจิไปด้วยไม่ได้ เราก็สามารถเรียกพี่เลี้ยงเด็ก(Sitter) มาดูแลได้ด้วย โดยจะมาดูแลให้ตั้งแต่ เวลาที่ทามาก็อตจิ ตื่น (7โมงเช้า) จนถึง 6 โมงเย็น   ถ้าใครออกจากบ้านไปทำงานเวลาไหน ก็ตั้งเวลาของตัวเครื่องให้ทามาก็อตจิตื่น ก่อนเราไปทำงานซักครึ่งชั่วโมงก็ได้ จะได้มีเวลาเรียกพี่เลี้ยงมาดูแล แต่ก็จะทำให้เวลาในเครื่องไม่ตรงกับเวลาจริงๆ
ทามาก็อตจิเด็กจะหลับตอน 9:00 pm  ตัวที่โตแล้วจะหลับตอน 4 ทุ่ม
วันไหนผมไปทำงาน ผมจะหยิบตัวเครื่องมาดูหลังจากกลับบ้านแค่ไม่กี่ครั้งเอง เพราะเวลาอยู่กับพี่เลี้ยง ค่าต่างๆจะไม่ค่อยลด

ลูกเล่นต่างๆ

1. ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ - เราสามารถวางของเล่นทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ได้ ทามาก็อตจิแต่ละตัวจะมีของเล่นที่ชอบต่างกัน และอาจจะชอบถึงขนาดเอาไปเล่นในห้องนอน 
บางครั้งทามาก็อตจิจะแสดงความรู้สึกออกมาว่าชอบไม่ชอบเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้อง และถ่ายรูปไปลงโซเชียล ถ้าเราเอาเฟอร์นิเจอร์ตัวโปรดของทามาก็อตจิออกไปจากห้อง ก็จะทำให้พวกมันเศร้าลง

นอกจากนี้ในเมนูของเล่น จะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดให้เราเลือกใช้ทำความสะอาดห้องได้ด้วย

2. Tama Walk - ถ้ากดเข้าโหมดนี้ จะเป็นการพาทามาก็อตจิไปเดินเล่น ซึ่งเป็นโหมดที่จะนับการเดินของเรานอกบ้านจริงๆ ทามาก็อตจิจะสามารถเจอกับพวกมันตัวอื่น ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆของโลกทามาก็อตจิ และได้วัตถุดิบสำหรับสร้างของมาเป็นรางวัล

3. Tama Search - กดปุ่มสุดท้ายตอนอยู่ในห้องนั่งเล่น เพื่อเข้าโหมดนี้ ทามาก็อตจิจะออกไปท่องเที่ยวแล้วเจอกับตัวละครอื่น โดยชนิดตัวละครที่เจอจะขึ้นอยู่กับสัญญาณ wifi รอบตัวเราที่เครื่องจับได้ และถ้าได้เจอกับตัวไหนบ่อยๆ สัตว์เลี้ยงของเราก็จะชวนเพื่อนตัวนั้นมาเที่ยวที่บ้านได้

4. การซื้อข้าวของต่างๆ - เราสามารถใช้เงินที่ได้จากการเล่นกับทามาก็อตจิ ไปซื้อของต่างๆได้หลายอย่าง ทั้งห้องใหม่ ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ ของประดับตัวสัตว์เลี้ยง เสื้อผ้า หรือจะสั่งอาหารดีๆมาตุนไว้ก็ได้
บางวันสินค้าต่างๆก็ลดราคา 50% ด้วยครับ

5. การสร้างของ - เป็นการเอาวัตถุดิบที่ได้จากโหมด Tama walk มาสร้างของประดับร่างกาย รวมทั้งย้อมสีตามต้องการ

6. Tama Pet - สัตว์ตัวเล็กๆจะเยี่ยมที่บ้านทามาก็อตจิ ถ้าเราเอาของเล่นหรือเฟอร์นิเจอร์บางชนิด วางไว้ที่นอกบ้าน Tama Pet ที่มาเที่ยวจะหายไป ถ้าเราเปลี่ยนของที่วางไว้ หรือ เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก

Tamaverse จุดขายหลักของรุ่น Uni ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงของทามาก็อตจิ โหมดนี้เราจะต่อเน็ตหรือไม่ต่อ ก็เข้าได้ แต่ถ้าไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต อาจจะขาดเนื้อหาบางอย่าง

Entrance ทางเข้า - เราจะได้เจอกับทามาก็อตจิที่คนอื่นเลี้ยงไว้ทั่วโลก สามารถกดถูกใจ หรือดูคะแนนถูกใจได้

Tama Square แบ่งเป็น 3 พื้นที่
- Tama Party หาคู่แต่งงาน จากทามาก็อตจิของคนอื่นๆได้จากที่นี่
- Tama Travel - ทามาก็อตจิของเราจะได้ออกทัวร์ไปสถานที่แปลกๆ ด้วยราคา 2000G พอกลับมา ก็จะได้ของที่ระลึก
- Tama Fashion - ซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นเซ็ต และอัพโหลดชุด

Tama Arena ลานประลอง - พื้นที่เทศกาลแข่งขัน จะใช้งานพื้นที่นี้ได้เป็นช่วงๆ มีไว้แข่งกับคนอื่นผ่านมินิเกม เพื่อรับรางวัล

Download - เมนูนี้ใช้สำหรับกดใส่ code เพื่อรับของขวัญต่างๆ

Update - ใช้เพื่ออัพเดทปรับปรุงเครื่อง ให้มีเนื้อหาล่าสุด  ถ้าไม่อัพเดท อาจจะเข้าทามาเวิอร์สไม่ได้

Info - ดูข่าวสารข้อมูลใหม่ๆ

Tama Portal 

เป็นพื้นที่สำหรับ เนื้อหาเสริม เรียกสั้นๆว่าDLC หรือ ticket หรือจะเอาตามที่ผู้เล่นในไทยเรียกว่า เมือง ก็ได้

เมื่อเข้าไปในพอร์ทัล ข้างในก็จะมีกิจกรรมให้ทำคล้ายๆทามะเวิร์ส แต่ตึกรามบ้านช่องภายในจะถูกตกแต่งตามธีมของDLCที่เราโหลดไว้ในเครื่อง มีจุดพบปะคนให้กดถูกใจกัน ร้านขายของตามธีม และเล่นจุดเกมที่มีเนื้อหาพิเศษ 

ทามาก็อตจิรุ่น Uni จะโหลดเนื้อหาเสริมมาใส่ในเครื่องได้จากการซื้อ Ticket หรือบางกล่องก็จะขายพร้อมกับDLCเลย เช่นกล่องที่เขียนว่า Angel หรือ Monster ซึ่งกล่องที่แถม DLC เราต้องเอาโค้ดไปดาวน์โหลดหลังจากซื้อเอง เพราะมันไม่ได้อยู่ในเครื่องแต่แรก
โดยเครื่องนึงจะจุได้แค่ 1 DLC เท่านั้น ถ้าอยากเปลี่ยนเนื้อหาเสริม อันเก่าก็จะถูกลบออกไป แต่สามารถโหลดลงเครื่องใหม่ทีหลังได้ 

 
แต่ละเนื้อหาเสริม จะมีทั้ง ตัวละครใหม่ที่เลี้ยงได้ สถานที่เฉพาะของDLCนั้น มีเกมใหม่ กิจกรรมใหม่ อาหาร ข้าวของเครื่องประดับต่างๆ ซึ่ง DLC ทุกอันจะมีธีมของมัน เช่น แฟชั่นโชว์ วงดนตรี สไตล์นางฟ้า สไตล์สัตว์ประหลาด ธีมสินค้าของSario 

เราสามารถซื้อ DLC ผ่านเว็ปทางการได้ https://ticketshop.tamagotchi-official.com/ ราคาประมาณสองร้อยต้นๆ และในเว็ปก็มีโค้ดเนื้อหาเสริม Berry Land ให้โหลดฟรีๆด้วย

การลง DLC จะลงได้ต่อเมื่อทามาก็อตตัวเก่าเราย้ายออกไป แล้วกำลังจะเริ่มเลี้ยงตัวใหม่เท่านั้น และข้าวของต่างๆของ DLC ตัวเก่าก็จะหายหมด เพราะเครื่องนึงจุ DLC ได้แค่อันเดียว

โค้ดของ DLC หนึ่งโค้ด สามารถลงได้ถึง 3 เครื่อง และลงซ้ำเครื่องเดิมได้ไม่จำกัด ดังนั้นเราสามารถแบ่งโค้ดให้คนอื่นได้ครับ

การเริ่มเลี้ยง ทามาก็อตจิรุ่นต่อไป - หลังจากทามาก็อตจิโตเต็มที่ได้ 4 วัน พวกมันก็จะขอย้ายออกไปอยู่ตัวเดียว ถ้าเราปฏิเสธไม่ให้ย้ายออก  พวกมันก็จะอยู่ต่อ และอาจจะขออนุญาตอีกวันหลัง
หลังจากอนุญาต ทามาก็อตจิ ก็จะเก็บข้าวของเตรียมย้ายออกแล้วทิ้งไข่ไว้ให้เราเลี้ยงรุ่นต่อไป

นอกจากจะรอให้ทามาก็อตจิขอย้ายออกเอง เราสามารถ พาทามาก็อตจิไป Tamaverse เพื่อหาคู่แต่งงาน แล้วย้ายออกได้ด้วยครับ ซึ่งก็จะได้ไข่มาเหมือนกัน



เกร็ดเพิ่มเติม:

- กลุ่มพูดคุยเรื่อง Tamagotchi มีหลายกลุ่มในเฟซบุ๊คเลยครับ ใครอยากตามข่าวสารเวลารุ่นใหม่ๆออก ก็ลองเข้ากลุ่มพวกนี้ได้

- ถ้าในไทย ขายกันโก่งราคามาก และเกิดร้าน Kinokuniya ขายหมด แนะนำให้ลองสั่งจาก Amazon หรือ ebay ดูครับ ผมสั่งซื้อผ่าน Amazon รุ่น Tamagotchi Pix ที่ในไทยขายกัน 3500 บาท มาแค่ 2,034 บาทเอง รวมค่าส่งแล้วด้วย เดี๋ยวนี้มีแค่บัตร ATM ก็ซื้อได้แล้ว ผมใช้ของไทยพาณิชย์

-กล่องที่ร้าน kinokuniya ขาย จะให้คู่มือเป็นภาษาญี่ปุ่น ต้องไปโหลดคู่มือภาษาอังกฤษจากในเน็ตแทน พิมพ์ค้นหาว่า tamagotchi uni manual (แต่ตัวเครื่องมีภาษาอังกฤษนะครับ เฉพาะคู่มืออย่างเดียวที่ไม่ใช่)

-  ตอนเปิดเครื่องครั้งแรก มันจะให้ตั้งชื่อเรา ไม่ใช่ชื่อของสัตว์เลี้ยง และเวลาตั้งค่าปีปัจจุบัน ให้ระวัง เพราะถ้ากดเลยไป เราต้องกดปุ่มเปลี่ยนปีไปเรื่อยๆจนถึงปี 2090 แล้วถึงจะวกกลับมาปี 2023

- หน้าจอ Uni เป็นรอยง่ายมาก ควรซื้อฟิล์มแบบ ฟิล์มมือถือ มาแปะกันรอยด้วย ตามเว็ป Shopee Lazada มีฟิล์มของ ทามาก็อตจิโดยเฉพาะขายเลย  เคสนุ่มๆรองรับการกระแทกก็มีขาย แต่ไม่แนะนำฟิล์ม TPU เพราะติดยากมาก มันอ่อนยวบยาบ จับมุมนู้นให้เข้า มุมนี้หด กว่าจะแปะให้ครบสี่มุม ผมปรับแล้วปรับอีกจนฟิล์มเปื้อนจากด้านใน จนใช้ไม่ได้เลย เลือกฟิล์มทรงแข็งๆจะติดง่ายกว่า

- การเปลี่ยนแบตในกรณีที่แบตเสื่อม แบตของรุ่น Uni จะฝังอยู่ในเครื่อง ไม่เหมือนรุ่น Pix ที่ใช้ถ่านก้อนเล็ก ดังนั้นต้องให้ช่างที่ชำนาญพวกเรื่องของเล่น เครื่องเกม เปลี่ยนให้ เมืองนอกมีคนเปลี่ยนได้แล้ว
แนะนำให้เลียบๆเคียงๆถามกลุ่มเฟซบุ๊คที่เกี่ยวขายเครื่องเกมสายมืด หรือเครื่องเกมแปลงดูครับ เพราะส่วนมากที่นั่น จะมีช่างเก่งๆอยู่ในกลุ่ม และรับแปลงเครื่องเกมผ่านทางพัสดุ หรือจะเอาไปให้ทำถึงที่ก็ได้ เช่นที่ห้าง Mega Plaza ที่เป็นที่รวมพลแห่งเกมและของเล่นใหม่ หลังจากสะพานเหล็กปิดไป(ผมไปมาครั้งนึง ทั้งคนทั้งของ แน่นไปทั่วทุกตารางนิ้ว แทบไม่มีที่หายใจเลย)

แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องแบต ก็ซื้อ Tamagotchi รุ่น Pix และ Pix Party มาเลี้ยงดีกว่าครับ เพราะใช้ถ่านก้อน แต่เหมือนรุ่นนี้จะกินถ่านหน่อยๆ เลยแนะนำว่าให้ซื้อเป็นถ่านชาร์จมาใช้

- เนื่องจากขนาดของแบตของTamgotchi Uni มีขนาดเล็ก ควรหลีกเลี่ยงการใช้หัวชาร์จมือถือรุ่นชาร์จเร็ว(Fast Charge)ให้ใช้อะแดปเตอร์แบบธรรมดาแทน ที่สำคัญคือ สายชาร์จ ต้องเป็นสายที่ด้านนึงเป็น USB-A อีกด้านเป็น USB-C เท่านั้น (แบบเดียวกับสายที่แถมมาในกล่อง) ไม่ควรใช้สายที่เป็น usb-c ทั้งสองด้าน เพราะสายอย่างหลัง ไฟฟ้าจะเข้าเครื่องมากเกินไป
ส่วนวิธีชาร์จที่ปลอดภัยวิธีอื่นก็คือการเสียบหัว usb c เข้าชาร์จกับคอม พาวเวอร์แบ้งค์ หรือ ปลั๊กต่อ ที่มีรู USB 

ทามาก็อตจิ เป็นสัตว์เลี้ยงเสมือนจริง ที่คนเลี้ยงต้องใช้จินตนาการควบคู่ไปด้วยถึงจะสนุก เหมือนกับเวลาเราอ่านนิยาย ที่คนอ่านต้องใช้ข้อมูลจากตัวหนังสือครึ่งหนึ่ง ที่เหลือคือการใช้จินตนาการของตัวเองอีกครึ่งหนึ่งถึงจะอ่านเพลิน ดังนั้นถ้าเราจินตนาการให้รู้สึกว่ามันมีชีวิตไม่ได้ ก็จะไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับการเลี้ยงซักเท่าไหร่
และเวลาเลี้ยงก็ไม่ควรคลุกคลีกับมันมากนัก เพราะเนื้อหาของตัวเครื่องไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าเกมหรืออุปกรณ์สมัยใหม่ ถ้าใช้เวลากับมันนานไป จะทำให้เบื่อได้ ให้ดูแลมันเฉพาะตอนเวลาว่างเป็นช่วงสั้นๆ จะสนุกกว่า


Monday, August 12, 2024

ข้อมูลอย่างคร่าวๆของ โรงพยาบาลสัตว์เกษตร จุฬา ในปี 2024

ข้อมูลสั้นๆของสองโรงพยาบาล ที่ผมไปใช้บริการบ่อย เวลาที่แมวป่วยครับ เป็นข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ดังนั้น บางเรื่องอาจไม่ตรงกับประสบการณ์ของคนอื่นๆที่เคยไปก็ได้ ก็ขอให้คิดว่าเป็นข้อมูลคร่าวๆละกัน


โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ - ค่าบริการยังถูกเหมือนเดิม ในปี 2024  มีหลายครั้งที่ไปแล้วจ่ายไม่ถึง 500 อย่างมากก็ 1000 นิดๆ คิวรอไม่นานเท่าเกษตร  วันธรรมดาไปได้ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงบ่าย ไม่จำกัดคิว

วันเสาร์อาทิตย์รับแค่ 30 คิว ดังนั้นควรไปให้ถึงซัก 6 โมงเช้า ก่อนที่บัตรคิวจะหมด
เบอร์โทร 02-218-9751 ถนนอังรีดูนังต์ รพ อยู่เกือบถึงพารากอน
 

โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - ราคาออกไปทาง รพ.เอกชน ครั้งนึงราว 1,000-2,000 หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนผ่าตัดจำได้ว่าราคาค่าผ่าตัดไม่ห่างจากจุฬาฯมากนัก แต่การบริการต่างๆรวมทั้งหมอก็รู้สึกว่าสมราคาดี
คนเยอะกว่าจุฬา และรับจำนวนจำกัด ควรไปถึงก่อน 6โมงครึ่ง หรือ ยิ่งเช้ากว่านั้นยิ่งดี ไม่งั้นจะต้องมาอีกทีรอบ 5 โมงเย็นแทน

สำหรับสัตว์ที่เป็นมะเร็ง แนะนำให้มาที่เกษตรเป็นอันดับแรกเลยครับ เพราะที่นี่มีอุปกรณ์เฉพาะที่ รพ. อื่นอาจจะไม่มี และคุณหมอที่ดูแลเรื่องมะเร็ง ใส่ใจสัตว์เลี้ยงที่เข้ามารักษามาก

รพ. ติดกับ BTS ม.เกษตร เบอร์โทร 02-797-1900
เนื่องจาก รพ นี้ติดกับ BTS เวลายาที่หมอจ่ายมาหมด ผมสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปรับยาตอนเย็นได้สบายๆ รวมทั้งตอนที่แมวผมต้องแอดมิตอยู่รพ ก็นั่งBTS มาเยี่ยมตอนเย็นได้ด้วยครับ

ปล. ว่าด้วยเรื่องโรงอาหาร สำหรับคนที่จำเป็นต้องรอรับการรักษานานไปจนถึงบ่าย
โรงอาหารของจุฬาฯ ค่อนข้างคึกคักเต็มไปด้วยนักศึกษา ดูแล้วน่าจะหาที่นั่งยากกว่าเกษตร
นอกจากนี้ก็มีร้านเล็กๆหน้าโรงอาหาร ที่ขายข้าวแกงราคาถูกมาก (30กว่าบาท) แต่เหมือนร้านนี้อาจจะให้เฉพาะคนภายในมากินเท่านั้น?(แต่ผมก็เผลอต่อคิวซื้อไปแล้วครั้งนึงอ่ะนะ)

ส่วนทางด้านโรงอาหารของเกษตร จะอยู่ที่ตึกข้างๆตัวโรงพยาบาลสัตว์ แต่เหมือน นศ. ไม่ค่อยมาใช้บริการจุดนี้ซักเท่าไหร่ เลยมีที่นั่งให้เลือกตามสบาย อาหารก็หลายแนวดีครับ

กลับดาวแมวแล้วจ้า

Tuesday, March 5, 2024

ประสบการณ์ ฝูงแมงเม่าแตกรังในบ้านนับพันตัว

 โพสนี้ขอนอกเรื่องจากเรื่องสัตว์เลี้ยงหน่อยครับ เพราะเป็นเรื่องสยองที่เจอมาหมาดๆ

ถ้าใครเจอแมงเม่าบินอยู่ในบ้าน ทั้งที่ตามถนนนอกบ้านไม่มีแมงเม่าบินให้เห็น แปลว่าในบ้านของคุณมีรังปลวกที่กำลังสุกงอมเต็มที่อยู่ครับ

ก่อนจะเกิดเรื่องฝูงแมงเม่าแตกรัง ประมาณ 1 อาทิตย์  ผมเริ่มเห็นแมงเม่าบินอยู่ในบ้านวันละ 2-3 ตัว ตอนแรกก็นึกว่ามันมาจากนอกบ้านเหมือนทุกปี  แต่พอเห็นติดต่อกันหลายวัน ก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่าแมงเม่าพวกนี้อยู่ในบ้านแต่แรกรึเปล่า แต่ด้วยความขี้เกียจ ก็เลยไม่ได้พยายามค้นหาต้นตออะไร

จนปัญหาสุกงอมเต็มที่ คืนนึงผมออกจากห้องน้ำ ก็เจอฝูงแมงเม่า ประมาณเกือบห้าสิบตัว บินอยู่ชั้นล่าง
ตอนแรกผมก็นึกว่า มุ้งลวดขาด แมงเม่านอกบ้านเลยบินเข้ามา แต่พอออกไปชะเง้อดูนอกบ้าน ก็ไม่เห็นบ้านอื่นจะมีแมงเม่าเลย

หลังจากนั้น พอเดินขึ้นไปชั้นบนบ้านเพื่อจะเช็คดูว่ามันกระจายไปชั้นบนรึเปล่า ก็พบว่า
แมงเม่าบินอยู่ในห้องนอนเป็น1000ตัวเหมือนพายุเลยครับ!!

คงเป็นภาพที่จะติดตาไปอีกนานไปเลย ฝูงแมงเม่ากำลังบินว่อนจนเสียงดังวูมๆเหมือนเครื่องบินบินผ่าน กับภาพแมวตัวน้อยของผมจ้องพวกมันตาค้าง 
พอตั้งสติได้ ผมก็รีบเอามือปัดๆแมงเม่าให้ออกจากหน้าจากหัว แล้วรีบอุ้มแมวเข้าไปหลบในห้องที่ปิดประตูไว้

จากนั้นผมก็กลับไปที่ใจกลางพายุแมงเม่าอีกครั้ง เพื่อหาที่มาของพวกมัน ก็ปรากฏว่า เป็นขอบหน้าต่างไม้เก่าๆในห้องนอน ที่มีแมงเม่าผุดออกมาทีละตัวสองตัวครับ รังของมันคือขอบหน้าต่างบนหัวนอนผมนั่นเอง

ตอนนั้นในสมองก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหาเต็มที่ ไปปิดไฟห้องนอนเปิดไฟนอกบ้านเพื่อล่อให้มันไปตอมทางนั้นแทน และฉีดยาฆ่าแมลงตรงรัง

จนซักชั่วโมง หายนะนี้ก็จบไปครับ แมงเม่าบินออกไปนอกบ้านประมาณ 30% ส่วนที่เหลือก็สลัดปีก ตกลงมาตามพื้น แล้วเริ่มจับคู่เดินตามกันไปในซอกพื้นไม้ ซอกเฟอร์นิเจอร์ เกาะตามผนัง
คนในบ้านผมก็เอาไม้กวาดมากวาดแมงเม่าไร้ปีกพวกนี้ไปทิ้ง แล้วรีบโทรติดต่อให้ช่างแถวบ้านมารื้อไม้ผุที่เป็นรังของพวกมันในวันรุ่งขึ้น
คืนนั้นทุกคนเลยต้องย้ายกันไปนอนตามห้องที่แมงเม่าไม่ได้บินเข้าไปครับ

สาเหตุที่ผมไม่ทราบว่า ขอบหน้าต่างในห้องเป็นรังปลวก เป็นเพราะหน้าต่างผมถูกทาสีไว้จนดูเหมือนใหม่ครับ แต่ที่จริงคือไม้เก่ามากแล้ว

จากประสบการณ์ สิ่งที่ควรทำตอนเจอสถานการณ์แมงเม่าแตกรังในบ้าน ก็คือ

- หากะละมังใส่น้ำตื้นๆ มารองไว้ให้ทั่วบ้าน แมงเม่าที่สลัดปีก จะตกลงมาตายในนี้ และไปเพาะพันธุ์ที่ไหนต่อไม่ได้
- ปิดไฟในบ้าน เปิดไฟนอกบ้าน เพื่อล่อแมงเม่าให้ออกไป
- ฉีดยาฆ่าแมลงตรงรัง
- เอากระบอกฉีดน้ำ แบบที่ใช้ฉีดน้ำตอนรีดผ้า มาฉีดใส่แมงเม่าที่บินอยู่ เพื่อให้พวกมันตกลงมา
- ติดต่อบริการฉีดกำจัดปลวก ให้เร็วที่สุด เพราะแมงเม่าที่สลัดปีกทิ้ง จะจับคู่กันทำรังเพิ่มในบ้าน

Friday, October 20, 2023

ประสบการณ์การรับบริจาคเลือดให้แมวที่ โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 สำหรับผมการรับบริจาคเลือดให้สัตว์เลี้ยง เป็นอะไรที่รู้สึกไกลตัวมาก เคยเห็นแต่คนอื่นประกาศรับบริจาคเลือดให้สัตว์เลี้ยงของตัวเอง แต่นึกไม่ถึงว่าพอถึงวันนึง ผมต้องหาเลือดมาให้แมวของผมหลังผ่าตัดเหมือนเจ้าของคนอื่นๆ เพราะคุณหมอผ่าตัดบอกไว้ก่อนว่า แมวผมจะเสียเลือดมาก เพราะผ่าหลายจุด คุณหมอเลยบอกให้เตรียมหาเลือดไว้เลย

เนื่องจากเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ถ้ามีขั้นตอนไหนตกไปบ้าง ก็ขออภัยนะครับ แต่หลักๆคือ
1. หาเลือด
2. ตรวจความเข้ากันของเลือดระหว่างสัตว์เลี้ยงสองตัว
3. ติดตามอาการสัตว์เลี้ยงหลังรับเลือด ว่าจะต้องการเลือดเพิ่มอีกหรือไม่


การหาเลือด มีอยู่ 3 วิธี หรืออาจจะมีเยอะกว่านี้ก็ไม่ทราบ แต่ผมมีประสบการณ์แค่นี้แหละ
แต่ก่อนอื่น ควรให้ทาง รพ หากรุ๊ปเลือดสัตว์เลี้ยงของก่อนครับ  จะได้หาชนิดที่ถูกต้อง

1. ซื้อเลือด ผ่านทาง โรงพยาบาลเอกชน ที่มีเลือดขาย ลองปรึกษากับหมอที่ดูแลสัตว์เลี้ยงของเราหลังผ่าตัดดู ว่าพอจะแนะนำ รพ ไหนที่มีเลือดสัตว์เลี้ยงจำหน่ายมั้ย  
กรณีของผม ที่ รพ สัตว์เกษตร ไม่มีขาย คุณหมอเลยแนะนำรายชื่อ รพ ที่อาจจะมีขายมาให้
เลือดถุงนึง ประมาณ 1 หมื่น ขึ้นไปครับ พอได้ยินราคา ผมก็เลยหาทางจากวิธีที่2และที่3แทน

2. รับบริจาค  จากคนรู้จัก หรือผ่านช่องทางโซเชียล เช่น โพสรับบริจาคในเฟซบุ๊คของตัวเอง หรือไล่ดูตามเฟซบุ๊คของห้างสรรพสินค้า หรือองค์กรเอกชนอื่นๆ เผื่อเค้ามีโครงการรับบริจาคเลือดอยู่

แต่ "วิธีที่ได้ผลดีที่สุด" คือเข้ากลุ่มรับบริจาคเลือดในเฟซบุ๊คที่มีอยู่หลายกลุ่ม มีคนใจบุญมากมายเยอะกว่าที่คิดครับ มีทั้งคนเสนอบริจาค คนที่ช่วยเอาโพสของเราไปแชร์
ตอนแรกผมก็ประหม่า ว่าจะขอรับบริจาคยังไงดี เพราะผมเป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบไม่ค่อยรู้จักใครเลยในชีวิตจริง (ฮา) แต่พอไปโพสว่าต้องการเลือด ก็มีคนสนใจจะช่วยพอสมควรครับ  แต่เนื่องจากตอนนั้นผมต้องแข่งกับเวลา ผมเลยใช้วิธีที่ 3 แทน

3. ซื้อเลือดจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงคนอื่นๆ
หลังจากไปโพสขอรับบริจาคเลือด ผ่านช่องทางโซเชียลแล้วคนที่จะติดต่อเข้ามา ก็มีทั้งคนใจบุญที่จะบริจาคให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 
และมีทั้งคนที่จะขอ "ค่าเสียเวลา" สำหรับการบริจาคเลือดด้วยครับ ซึ่งมีคนเสนอราคาตั้งแต่ 3000 ถึง 7500 ซึ่งผมก็ไม่ได้มองคนขายเลือดเป็นอาชีพในแง่ลบอะไรนัก เพราะอย่างน้อย เลือดที่ขายมา ก็ช่วยชีวิตสัตว์เลี้ยงได้มากมาย แต่หวังว่าเงินที่ได้ไป จะเอาไปใช้จ่ายให้สัตว์เลี้ยงที่เป็นเจ้าของเลือด ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ

หลังจากหาช่องทางการได้เลือดแล้ว ก็ต้องให้สัตว์ที่จะบริจาคเลือด ไปตรวจที่ รพ ที่สัตว์เลี้ยงเรารออยู่อีก 2-3 อย่างครับ อย่างนึงคือความเข้ากันของเลือดของสัตว์เลี้ยงทั้งตัวที่เป็นผู้รับและผู้ให้ อีกอย่างคือเช็คเรื่องประวัติการฉีดวัคซีน ถ้าไม่มีปัญหา รพ ก็อาจจะให้สัตว์เลี้ยงบริจาคเลือดตั้งแต่ตอนนั้นเลย

หลังจากได้เลือดพอเพียงจากผู้บริจาคตัวแรกแล้ว (กรณีผม ต้องการแค่ถุงเดียว โชคดีไป) ก็ต้องมารอลุ้นอีก ว่าหลังจากรับเลือดไปแล้ว สัตว์เลี้ยงจะสร้างเลือดให้ตัวเองพอหรือไม่ 
ถ้าเลือดยังถูกสร้างทดแทนไม่พอ ก็ต้องโพสขอรับบริจาคอีกรอบครับ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นเจ้าของกลุ่มเฟซบุ๊คและเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มรับบริจาคเลือดต่างๆด้วยครับ เป็นกลุ่มคนที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยไม่หวังอะไรตอบแทนจริงๆ

ปล. ถ้าใครโพสรับบริจาคเลือดผ่านFacebook แล้วโพสของเราไม่ขึ้นโชว์ในกลุ่มรับบริจาค ให้ส่งข้อความไปถามเจ้าของกลุ่มดูนะครับ เพราะตัวเว็ปเฟซบุ๊ค บางครั้งไม่ยอมให้โพสเนื้อหาแบบนี้ (เพื่อ?)  ผมก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน จนต้องส่งข้อความไปขอให้แอดมินกลุ่มช่วยโพสลงให้แทน

Wednesday, June 24, 2020

Tips of the day.

Tips of the day! เรื่อง: อย่าใช้ทางลัดในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ตัวเองสบาย

หลายครั้งหลายคราวที่คนในกลุ่มเฟซบุ๊ค หรือเว็ปบอร์ด (รวมทั้งตัวผมสมัยก่อนบางครั้ง) จะพยายามหา 'ทางลัด' ในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ตัวเองสะดวกโดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลกระทบต่อความสุขของสัตว์เลี้ยงรึเปล่า
เลยอยากแนะนำว่าถ้าใครอยากจะหา 'ทางลัด' แบบง่ายๆ เพื่อจะเลี้ยงสัตว์พวกนั้น เพราะตัวเองจะได้ไม่ต้องเจอกับความยุ่งยากอะไร เราควรหาสัตว์ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตของเราดีกว่าครับ

ในเว็ปนี้เต็มไปด้วยข้อมูลสัตว์ประเภทที่เลี้ยงไม่ยากหลายชนิด ก็น่าจะมีซักอย่างที่แต่ละท่านเลือกเลี้ยงได้โดยไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของพวกมัน ลองหาดูละกัน

ตัวอย่าง 'ทางลัด' ที่เห็นคนชอบใช้กันบ่อยๆ

- เลี้ยงงู โดยให้เนื้อหมู เนื้อไก่สดเป็นอาหาร แทนที่จะใช้หนูแช่แข็งที่มีสารอาหารครบ สุดท้ายงูเลยไม่แข็งแรง
- ถอนเล็บแมวแบบถาวร เพื่อให้แมวข่วนสิ่งของต่างๆในบ้านไม่ได้
- เลี้ยงหมาแมวแบบล่ามไว้ตลอดเวลา เพราะไม่มีพื้นที่เลี้ยง หรือไม่ต้องการให้มันเดินไปไหนมาไหน
- เลี้ยงเต่าบก แต่ไม่มีหลอดไฟ
- เลี้ยงแมงป่อง แต่ต้องการตัดหางออก เพื่อไม่ให้มันต่อยได้
- เลี้ยงแมงมุม ทารันทูล่า หรือกิ้งก่าจิ้งจก ด้วยหนอนอบแห้ง ซึ่งให้สารอาหารไม่ครบ
- เลี้ยงตะขาบแต่จะตัดเขี้ยวมัน เพื่อไม่ให้กัดเราได้
- ขลิบขนปีกนก ( อันนี้ 50/50 เพราะเป็นเรื่องถกเถียงกันในเมืองนอก ว่าอาจจะไม่ควรทำรึเปล่า เพราะอาจเป็นการทำร้ายจิตใจนก)
- เลี้ยงสัตว์ที่ต้องการพื้นที่กว้างๆอย่างแรคคูนในกรง
- เลี้ยง axolotl ในอุณหภูมิเกิน 26 องศา
- ซื้อตัวอะไรมา ก็เอาเลี้ยงในภาชนะที่ปูด้วยพื้นทรายข้างในทันที โดยไม่ศึกษาธรรมชาติของมัน ว่าควรเลี้ยงสัตว์ในสภาพแวดล้อมแบบไหน จะกิ้งก่า หนู นก กระต่าย เต่า ด้วง ตั๊กแตน กบ คางคก ก็เอาใส่ตู้ทรายหมด เพื่อความสวยงามของตู้ โดยไม่สนว่าสัตว์เลี้ยงจะต้องทรมานกับการหายใจเอาฝุ่นทรายเข้าไปในปอดตลอดเวลารึไม่ ลองคิดดูว่าขนาดฝุ่น PM2.5 เรายังตาลีตาเหลือก หาหน้ากากมาปิดจมูกกันเลยนะครับ
เรื่องพื้นทรายเป็นเคสที่เห็นบ่อยมาก ในสัตว์ทุก 10 ตัว จะโดนคนเลี้ยงในไทยยัดใส่ตู้ทรายซัก 8 ตัวเลยก็ว่าได้ ผมว่าคนไทยหมกมุ่นเรื่องการใช้ทรายกับสัตว์เลี้ยงเกินไป

Sunday, April 12, 2020

RIP

ขอไว้อาลัยคุณหมอโน คลินิก เจริญพงษ์สัตวแพทย์ ที่ตั้งอยู่ข้ามซอย อุดมสุข 60 ด้วยครับ

เป็นคลินิกสัตว์ ที่คุณหมอคิดค่าบริการถูกมาก บางครั้งก็ไม่คิดค่าบริการอะไรเลยด้วย ขอบคุณที่ดูแลแมวของผมและแมวของคุณป้าข้างบ้านมาโดยตลอด

เป็นการจากไปอย่างกระทันหันมาก คุณหมอยังดูหนุ่มอยู่เลย

Wednesday, February 19, 2020

หนูขนหนาม

หนูขนหนาม อียิปต์ (Egyptian Spiny Mouse)

หนูขนหนามอียิปต์ เป็นสัตว์ที่คล้ายกับหนูไมซ์ มีหน้ายาว หางไม่มีขน ถ้าจับส่วนหาง มันอาจสลัดให้หางหลุดเพื่อหนี จึงไม่ควรจับที่หางมัน หางจะไม่งอกออกมาใหม่
ลำตัวของหนูปกคลุมด้วยขนแหลมคล้ายหนามของเม่น จึงเป็นที่มาของคำว่า spiny (เต็มไปด้วยหนาม หรือออกแหลมๆ) ในชื่อ
ขนาดอยู่ระหว่าง 5-7 นิ้ว รวมหาง อายุขัยเฉลี่ย 3-5 ปี

หนูชนิดนี้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น และส่วนมากชอบงับมือคนเล่น  นานๆทีถึงจะเห็นตัวที่เรียบร้อยรักสงบ เวลาจะจับถือเล่นให้เอามือค่อยๆช้อนตัวมัน ห้ามดึงที่หางเพื่อถือมัน
แต่ควรเลี้ยงเอาไว้ดูเฉยๆดีกว่า เพราะมีความเสี่ยงว่ามันจะงับมือเอาได้ แต่บางเว็ปก็ว่า ต้องจับมันเล่นบ่อยๆถึงจะเชื่องเหมือนกัน
ถ้าเลี้ยงในห้องนอน หนูอาจวิ่งเล่นเสียงดังในตู้ตอนกลางคืน เพราะมันเป็นสัตว์หากินกลางคืน

เนื่องจากมีต้นกำเนิดในแถบทะเลทรายและที่แห้งแล้ง หนูขนหนามจึงไม่ถ่ายบ่อย และสร้างกลิ่นน้อยกว่าหนูชนิดอื่น
ความสามารถพิเศษของหนูขนหนาม ที่นักวิทยาศาตร์กำลังศึกษาอยู่คือ การสร้างผิวหนังและขนรวมทั้งต่อมเหงื่อขึ้นมาใหม่ หลังจากพวกมันสลัดเนื้อข้างหลังออกไปทั้งแผ่น เมื่อถูกสัตว์อื่นทำร้าย
ซึ่งยังไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดไหนที่ฟื้นฟูผิวหนังและขนได้เกือบสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลย

สถานที่เลี้ยง:
ควรเป็นตู้กระจก มีฝาตู้เป็นตาข่าย อุณหภูมิห้อง 27-29 องศา ปูพื้นด้วยขี้เลื่อยทำจาก Aspen (ดูที่ฉลาก) ห้ามใช้ขี้เลื่อยทำจาก Cedar หรือ pine
หรือใช้เศษกระดาษสะอาด และ paper towel (กระดาษทิชชู่ชนิดแผ่นใหญ่) มาปูพื้นร่วมก็ได้
นอกจากนี้ก็ใส่กระดาษกล่องแผ่นหนาๆให้แทะ และกล่องไม้ให้ซ่อนตัว ต้องใส่กงล้อวิ่งให้มันด้วย

ควรทำความสะอาดกรงบ่อยๆ เพื่อล้างกลิ่นแอมโมเนีย และกำจัดเชื้อโรค

อาหารและน้ำ:
เมล็ดพืชต่างๆ  และอาหารหนูสำเร็จรูปที่ประกอบด้วยเมล็ดพืช
ผลไม้เช่น แอบเปิ้ล ข้าวโพด แครอท
บางครั้งก็ให้อาหารมีชีวิตอย่างหนอนนก จิ้งหรีดบ้าง นอกจากนี้ก็สามารถให้พวกไข่ต้ม เนื้อไก่ต้มได้
น้ำ ใส่ในกระบอกแขวนให้มันดูดกิน

Tuesday, August 20, 2019

ประสบการณ์โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา

ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆกับ โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา

เนื่องจากจู่ๆวันนึงแมวของผมก็เป็นโรค เชอร์รี่ อาย Cherry eye ขึ้นมา ก็เลยต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ
เลยขอเล่าประสบการณ์คร่าวๆ เผื่อใครยังไม่เคยไปใช้บริการ จะได้ทราบขั้นตอนครับ

ข้อมูลทั่วไป

1. หลักๆแล้วเราจะต้องติดต่อกับอาคารสองแห่งที่อยู่ติดกัน อาคารแรกคือเวชระเบียน สำหรับติดต่อรับบัตรคิวพบหมอ รวมทั้งเป็นสถานที่จ่ายเงินด้วย
เวลามา รพ. ทุกครั้ง ต้องมาอาคารเวชระเบียนนี้ก่อน ไม่ว่าจะมีใบนัดหรือไม่ก็ตาม และถ้ายังไม่มีประวัติก็ต้องมาลงทะเบียนที่นี่เช่นกัน
ส่วนอีกอาคารจะเป็นสถานที่รักษา รวมทั้งผ่าตัด

ควรไปถึงไม่เกิน 8โมงครึ่ง ไม่งั้นจะได้คิวท้ายๆ ไปถึงซัก 7โมงได้ยิ่งดี

2. ที่นี่มี คลินิกสัตว์เลี้ยงพิเศษ ที่รับรักษาสัตว์เลี้ยงแปลกๆด้วย แต่ไม่รู้ว่าอยู่อาคารเดียวกับที่รักษาหมาแมวหรือไม่
เอาเป็นว่าก่อนจะมา ลองโทรถามดูก่อน เบอร์โทรอยู่ข้างล่าง

3. ตัวโรงพยาบาลอยู่ถนนอังรีดูนัง ถ้าขึ้นแท๊กซี่ก็บอกเค้าให้มาถนนนี้ สามารถลงจากทางด่วนมาถึง รพ. ได้ทั้งเพชรบุรี พระราม4 และหัวลำโพง ผมนั่งรถจากบางนาถึงรพ. ค่ารถราวๆ 170-230 บาท แล้วแต่วัน ไม่รวมค่าทางด่วน 50 บาท

4. โรงพยาบาลเปิดทุกวัน วันหยุดนักขัตฤกษ์ก็เปิด!!(ผมไปตอนวันแม่มา) แต่วันหยุดแบบนี้คุณหมอจะมาไม่ครบ คิวจะนานหน่อย และไม่รู้ว่ารับเฉพาะคนที่มีใบนัดรึเปล่า

5. ถ้าหมาหรือแมวต้องผ่าตัด ควรพกทิชชู่หรือกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่ไปด้วย เพราะก่อนผ่าจะมีขั้นตอนฉีดยาที่ทำให้สัตว์เลี้ยงเราอาเจียนออกมา และสถานที่ที่ฉีดก็คือตรงจุดที่ทุกคนนั่งรอระหว่างผ่าตัดกัน จึงต้องช่วยกันรักษาความสะอาด

6. ถ้าหิวระหว่างรอคิวหมอ มีร้านขายอาหาร กับพวกขนมปัง และกาแฟอยู่สองร้าน ร้านแรกตรงหน้าปากทางเข้าใกล้กับถนนใหญ่ ส่วนอีกร้านอยู่ชั้น2ของอาคารรักษา ติดกับแผนกจักษุ

การรักษา Cherry eye ของแมวผม
- วันแรกได้ตรวจกับหมอแผนกทั่วไป และโดนจับเอ็กซ์เรย์เพื่อดูว่าสุขภาพดีพอจะรับยาสลบตอนผ่าตัดได้มั้ย
นอกจากนั้นก็ได้ยามาทาและกิน 1 อาทิตย์ ผมเดาว่าที่หมอให้ยา เพราะหมอคงเผื่อว่าจะไม่ใช่เชอรี่อาย แต่เป็นแค่ตาอักเสบ และนัดตรวจอีกครั้ง 7 วันข้างหน้า
วันแรกผมใช้เวลามากสุด เพราะต้องไปแผนกX-ray ที่คิวยาวและรอผลนาน ส่วนวันอื่นๆกินเวลาแค่1-2 ชั่วโมง

- หนึ่งอาทิตย์ต่อมา แมวก็ยังมีอาการเดิม คราวนี้เลยได้ไปที่แผนกจักษุชั้น 2 และได้นัดวันผ่าตัดอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ซึ่งคุณหมอที่ตรวจจะเป็นคนผ่าเอง

- ระหว่างรอให้ถึงวันผ่าตัด ก็ใจระทึกด้วยความกังวลตลอด ว่าแมวอาจไม่ฟื้นจากยาสลบก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นมีข่าวคนเสียชีวิตเพราะยาสลบระหว่างผ่าตัด
ผมเลยต้อง search Google อยู่บ่อยๆ เพื่อดูข้อมูลปลอบใจตัวเองว่าโอกาสที่แมวจะเสียชีวิตเพราะยาสลบนั้นมีน้อยมาก เว้นแต่ว่าแมวจะอายุเยอะ จึงจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง

- คืนก่อนวันผ่าตัด ต้องงดอาหารแมวตั้งแต่ 2 ทุ่ม ส่วนน้ำ งดตั้งแต่ 4 ทุ่มหรือเที่ยงคืนนี่แหละ แมวร้องโหยหวนขออาหารตลอด เลยต้องขังไว้ในห้องนึงพร้อมกับกะบะทราย

- วันผ่าตัด ต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นของห้องผ่าตัด และจุดนั่งรอ  หลังจากเอาเอกสารใส่ตระกร้าหน้าห้องผ่าตัด  ก็หอบแมวไปอยู่ตรงจุดนั่งรอ แล้วซักพักหมอก็จะมาฉีดยาซึ่งจะทำให้แมวอ้วกและซึม
อีก 20 นาทีต่อมา หมอก็จะพาแมวเข้าห้องผ่าตัด ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง จำได้ว่าออกมาเร็วกว่าที่คิดมาก
ระหว่างรอ บรรยากาศจะหดหู่หน่อยๆ เพราะจะมีเจ้าของสัตว์เลี้ยงตัวอื่นนั่งรออยู่เหมือนกัน มีทั้งคนสวดมนต์ภาวนาให้กับสัตว์เลี้ยงที่กำลังผ่าตัด บางเคสก็เป็นหนักจนรู้สึกว่าปัญหาของเรานั้นเบาไปเลย

- พอหมอส่งคืนแมว รวมทั้งให้คำแนะนำหลังผ่าตัดและการกินยา ก็ลงไปจ่ายเงินชั้นล่าง และเอาใบเสร็จกลับมาที่ชั้น 6 เหมือนเดิม

-หมอนัดตรวจวันต่อมาหลังจากวันผ่าตัดเลย หลังจากนั้น ก็ข้ามไป 7 วัน และข้ามไปอีก 14 วันเป็นครั้งสุดท้าย

-รวมทั้งหมดผมได้ไปโรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬา 6 ครั้ง สำหรับโรค cherry eye หนึ่งโรค

-หลังผ่าตัดไม่ต้องพาแมวไปทำแผลที่ไหน แค่หยอดยาให้ทุกวัน


ภาพประกอบผู้ต้องหา

ค่าใช้จ่าย
1. วันที่ไม่มียา ไม่เกิน 600
2. วันที่มียา 700-900
3. มียา+เอ็กซ์เรย์ 1000-1400
4. ผ่าตัด 4000-5000 ถ้าจำไม่ผิด

เบอร์โทร 02-2189715
จ- ศ เวลาทำการ 8.00-15.00
ส-อ เวลาทำการ 8.30-11.00  *วันเสาร์อาทิตย์อาจต้องจ่ายแพงกว่าปรกติ

Friday, August 2, 2019

เฟนเน็คฟ็อกซ์ ( Fennec Fox )


วิธีเลี้ยง เฟนเน็คฟ็อกซ์ ( Fennec Fox ) จิ้งจอกจิ๋วหูยาว

บทความนี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็ปต่างประเทศนะครับ ประสบการณ์การเลี้ยงในไทยอาจจะมีหลายเรื่องที่ต่างออกไป ผู้อ่านควรไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่เคยเลี้ยงเอาเอง

เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นจิ้งจอกชนิดที่เล็ก อายุขัยเฉลี่ย 10-16 ปี หนักไม่ถึง 1.5 กิโลกรัม (เบากว่าที่คิดมาก แมวผมหนัก 4.6 กิโล) ขนาดตัวใกล้เคียงกับแมวหรือหมาพันธุ์ชิวาว่า
นิสัยโดยรวมอยู่ก้ำกึ่งระหว่างหมากับแมว พวกมันบางครั้งก็ชอบอยู่อย่างสันโดษเหมือนแมว บางเวลาก็คึกคักขี้เล่นเหมือนหมาน้อยตัวหนึ่ง
ตอนเลี้ยงจะมีทั้งเวลาที่มันนอนอยู่บนตักเราเฉยๆ หรือซนเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนมากมันจะคึกตอนได้ออกจากกรง พอหมดแรงแล้วถึงจะมายอมอยู่ใกล้กับเจ้าของ แต่โดยรวมแล้วถือเป็นสัตว์ที่ชอบวิ่งพล่านไปทั่วมากกว่าจะเป็นตุ๊กตานิ่งๆให้จับลูบเล่น
ตัวผู้ที่ทำหมันแล้ว จะเชื่องง่ายกว่าตัวเมีย และขี้อ้อนมากกว่า  ส่วนตัวเมียจะออกขี้ตกใจและขี้กลัวนิดๆ
การทำหมันตัวผู้จะทำให้กลิ่นฉี่มันแรงน้อยลง แต่ตัวเมียไม่มีผลอะไร

เฟนเน็คฟ็อกซ์มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น และซุกซนมาก จึงอาจสร้างความเสียหายแก่ข้าวของในบ้านได้ ถ้าไม่จับตาดูให้ดี
เวลาเราไม่อยู่บ้านจึงควรเอามันใส่กรงสุนัขขนาดใหญ่พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้พวกมันยังชอบขุดและกระโดดเก่ง ถ้าหลุดไปจากบ้านเมื่อไหร่ ก็เรียกว่างานเข้าเลย เพราะมันทั้งเร็วและหูดี โอกาสจะตามกลับมาได้ มีน้อยมาก
เป็นสัตว์ที่ต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ผู้เลี้ยงเลยต้องใช้เวลาร่วมกับมันมากกว่าสัตว์เลี้ยงที่ดูแลง่ายชนิดอื่น โชคดีที่เวลาหลับของมันค่อนข้างยาว คนเลี้ยงจึงมีเวลาส่วนตัวบ้าง
เฟนเน็คฟ็อกซ์บางตัวจะชอบมาคลอเคลียอยู่ตรงขาของคนเลี้ยงโดยที่เราไม่ทันสังเกต จึงต้องระวังอย่าเผลอเดินเหยียบมันเข้า

หลังจากได้เฟนเน็คฟ็อกซ์มาเลี้ยง อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันหน่อย มันถึงจะเริ่มคุ้นเคยกับคนและเข้ามาเล่นด้วย หรือบางกรณีก็ใช้เวลาเป็นเดือนเลย
พวกมันจะเชื่องได้กับทุกคนในครอบครัวของผู้เลี้ยง รวมทั้งหมาแมวในบ้าน แต่ถ้ามีเด็กเล็ก ก็คอยจับตาดูอย่าให้ไปแหย่จิ้งจอกจนโดนกัดเข้า 
เวลาที่มันอ้อนบางตัวจะชอบให้เกาพุง บางตัวชอบให้ลูบหูเบาๆ
ข้อควรระวัง - ถ้าในบ้านเลี้ยงหนูหรือนก ต้องเก็บให้อยู่ห่างๆมัน ไม่งั้นโดนเขมือบแน่

กลิ่น: สัตว์ชนิดนี้มีกลิ่นตัวน้อย ยกเว้นตอนที่มันกลัวมากๆ มันจะปล่อยกลิ่นสาบแรงออกมาทางหาง
ส่วนกลิ่นอึฉี่จะค่อนข้างแรง จึงต้องให้ห้องน้ำของมันสะอาดตลอดเวลา

เสียง: เฟนเน็คฟ็อกซ์จะส่งเสียงร้องเมื่อมีความสุขหรือตื่นเต้นดีใจ และบางตัวจะร้องโหยหวนถ้าไม่มีใครอยู่ในห้องเดียวกับมันเลย เป็นสัตว์ที่สร้างเสียงบ่อยพอสมควรจนอาจไม่เหมาะกับคนที่รักความสงบ
ตอนกลางคืนพวกมันจะสร้างเสียงดัง จึงควรเอาใส่กรงตอนเรานอน และให้อยู่ห่างๆห้องนอนไว้ หรือจะให้ดีก็ให้มันมีห้องเล็กๆส่วนตัวเลยดีกว่า
ไม่ควรปล่อยมันอยู่ในห้องนอนของเราตอนเราหลับ เพราะมันอาจจะกินข้าวของเล็กๆจนติดคอได้ หรือเดินเหยียบหน้าเราบนที่นอนด้วยเล็บที่แหลมคม


อาหาร:
อาหารของมันประกอบไปด้วยทั้งเนื้อและพืชผัก แต่เน้นไปทางโปรตีนและทอรีนมากกว่า  ห้ามให้แต่ผักผลไม้อย่างเดียวแก่มันเป็นอันขาด
เมื่อปี 2018 เคยมีข่าวดังไปทั่วโลกว่า หญิงวัยรุ่นคนนึงบังคับให้เฟนเน็คฟ็อกซ์กินแต่อาหารมังสวิรัติ จนมันผอมแห้งเหลือแต่กระดูก สุดท้ายก็ถูกคนทั่วโลกด่าประจานไปมากมาย

การให้อาหารผู้เลี้ยงบางคนให้เป็น อาหารสุนัขผสมกับอาหารแมว ร่วมกับผักผลไม้   เลือกอาหารสุนัขและแมวที่มีส่วนผสมของ ทอรีน (taurine) และเนื้อสูงๆ แต่ละมื้อควรมีสัดส่วนของอาหารแมวมากกว่าอาหารสุนัข

หรือบางคนก็ใช้สูตรอื่นคือ เนื้อไก่/หมู/วัวสด หรือหนูแดง ร่วมกับผักผลไม้เช่น บร็อคโคลี่ ส่วนผลไม้ที่มันชอบมากคือเชอร์รี่  และเบอร์รี่ 
พวกเนื้อถ้าปรุงให้สุก จะมีทอรีนน้อยลง จึงควรให้สดๆดีกว่า

สูตรสุดท้ายคือ  ให้อาหารไม่เหมือนกันทุกวัน วันนึงเป็นอาหารเม็ดหมาแมว วันนึงเป็นอาหารเปียกหมาแมวกระป๋อง  อีกวันเป็นเนื้อสด ซึ่งการให้อาหารแบบนี้จะทำให้จิ้งจอกได้รับสารอาหารหลากหลายมากกว่าการให้อาหารแบบเดิมทุกวัน

อาหารเสริม: ไข่ต้มหรือไข่ดิบ หนอนนก หนอนsilk worm จิ้งหรีด มะเขือเทศเชอรี่
นอกจากนี้ เชอร์รี่ และแครนเบอรี่ ก็ช่วยลดกลิ่นฉี่ของจิ้งจอกด้วย

อาหารที่ไม่ควรให้: แครอท ข้าวโพด(ไม่ย่อย เลยไม่มีประโยชน์)  ธัญพืช องุ่น กระดูก ช็อกโกแลต พริก กระเทียม
เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นสัตว์ที่ติดของหวานมาก เช่น ลูกอม คุกกี้ แต่เราก็ไม่ควรให้อาหารพวกนี้เลย

น้ำ: ใส่ในถ้วยเล็กๆไว้ตลอดเวลา หรือ กระบอกดูดน้ำ

สถานที่เลี้ยง:
กรงยิ่งใหญ่ยิ่งดี มันจะได้มีพื้นที่ให้เล่นซุกซนตามประสาในตอนกลางคืนได้  จะเป็นกรงหมาใหญ่ๆก็ได้ หรือเป็นกรงเฟอเร็ตใหญ่ๆที่มีหลายชั้นก็ได้
เมื่อปล่อยออกมานอกกรง ควรให้อยู่ในห้องที่ไม่มีข้าวของเล็กๆอยู่ตามพื้น บนชั้นไม่มีของที่แตกหักง่ายเพราะมันอาจกระโดดปีนขึ้นไปได้ ส่วนสายไฟและปลั๊กไฟก็ต้องอยู่สูงเกินเอื้อมหรือมีอะไรปิดไว้
แต่จะให้ดีที่สุดก็ยกห้องเล็กๆไม่มีข้าวของอะไรให้มันอยู่ไปห้องนึงเลย

การขับถ่าย:
เราสามารถฝึกให้พวกมันขับถ่ายเป็นที่ในกระบะได้ ด้วยการชมมันทุกครั้งที่มันขับถ่ายตรงจุดที่เราต้องการ หรือให้ขนมเป็นรางวัล
เมื่อเห็นว่ามันจะอึหรือฉี่ให้รีบอุ้มมันไปที่กระบะเลย แล้วมันจะเริ่มจำได้ว่าควรขับถ่ายตรงไหน
เอามูลที่อยู่ตามพื้นมาวางไว้บนกระบะ เพื่อเป็นตัวอย่างให้มันดู
อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ถึงจะฝึกให้ขับถ่ายเป็นที่ได้ บางตัวก็ฝึกไม่ได้เลย และต้องใส่ผ้าอ้อมไว้ตลอด เพื่อไม่ให้อึฉี่เลอะบ้าน
ในกระบะขับถ่ายใส่ทรายแมวที่ "นุ่มๆ" หรือ กระดาษหนังสือพิมพ์

ข้อควรระวัง:
- เฟนเน็คฟ็อกซ์ ที่ถูกขังในกรงมากเกินไปจะก้าวร้าว และชอบวิ่งซนทำลายข้าวของมากกว่าปรกติ
- ห้ามตวาด หรือด่าว่าพวกมันด้วยเสียงดังเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเพราะพวกมันขับถ่ายไม่เป็นที่ หรือ ทำของเสียหาย ไม่อย่างนั้นมันจะเริ่มแขยงคน และทำพฤติกรรมต่อต้าน

Monday, March 4, 2019

แรคคูน เลี้ยงได้รึไม่?

ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศหลายคนลงความเห็นว่า มันเป็นสัตว์ที่พอจะเอามาเลี้ยงได้ แต่อย่าเลี้ยงเลยจะดีที่สุด
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของมันจะดูน่ารัก น่ากอด แถมในหนังดังอย่าง Guardians of the Galaxy ก็มีตัวละครเด่นเป็นแรคคูนจากต่างดาว ให้หลายคนอยากมีสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ไว้ในครอบครองมากขึ้น
แต่การเลี้ยงพวกมันกลับยุ่งยากเป็นอย่างมาก และคนเลี้ยงต้องแบ่งเวลามาดูแลมันมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น นอกจากนี้มันสามารถติดโรคพิษสุนัขบ้าได้ด้วย
มีหลายรัฐในอเมริกา ที่ห้ามเอาแรคคูนมาเลี้ยง บางรัฐก็ให้เลี้ยงได้ แต่ต้องขออนุญาตก่อน

อายุขัยเฉลี่ย: 10-15 ปี

พฤติกรรม:
แรคคูนเป็นสัตว์ที่ฉลาด ตื่นตัวเสมอ และชอบการเข้าสังคม แม้ว่าพวกมันจะทำตัวเชื่องกับคนเลี้ยงได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไหร่ มันสามารถทำลายข้าวของทุกอย่างในบ้านในพริบตาด้วยความซุกซนของมัน
มือของแรคคูนมีการพัฒนามากกว่าสัตว์ชนิดอื่น  พวกมันจึงสามารถเปิดฝากล่อง ฝาของโหล และปลดล็อคสิ่งต่างๆเช่นประตูได้ง่ายๆ เพราะอย่างนี้แรคคูนที่อยู่ในบ้านโดยไม่มีคนดูแลจึงเท่ากับหายนะดีๆนี่เอง

ข้อดีไม่กี่อย่างของความฉลาดของแรคคูนคือ เราสามารถฝึกให้มันถ่ายขับเป็นที่ได้ และเป็นสัตว์ที่เลี้ยงให้เชื่องและติดเจ้าของได้ พวกมันตอบสนองกับคำพูดของคนเลี้ยงบางคำได้เหมือนสุนัขและแมว
แต่ส่วนมากพวกมันจะใช้ความฉลาดของพวกมันมาทำเรื่องแสบๆภายในบ้านซะมากกว่า

สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์หากินยามกลางคืน ซึ่งหมายความว่า แรคคูนจะคึกคักในเวลาที่คนเราหลับ บางตัวจะชอบทำร้ายสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นที่เล็กกว่า เช่นแมวหรือกระต่าย แต่ก็มีบางคนบอกว่ามันเข้ากับสุนัขตัวใหญ่ได้ดี
แรคคูนแต่ละตัวมีนิสัยต่างกัน มีทั้งตัวที่ก้าวร้าว ขี้กลัว เป็นมิตรกับคน หรือขี้สงสัย

สถานที่เลี้ยง:
พวกมันไม่ชอบอยู่ในกรงมากๆ เวลาเลี้ยงจึงต้องปล่อยให้มันวิ่งเล่นภายในบ้านตลอด ส่วนเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้านก็ให้มันอยู่ในกรงสุนัขไซส์ใหญ่มาก หรือไม่ก็ยกห้องให้มันห้องนึงเลย
แรคคูนจะใช้เวลาของมันผจัญภัยในบ้านของคนเลี้ยง ทั้งปีนป่าย แทะสายไฟ ปีนตู้ ทำข้าวของหล่นแตก ดึงกระดุมออกจากเสื้อผ้า คนเลี้ยงจึงต้องจัดข้าวของภายในบ้านให้ห่างไกลมือมัน
ในที่เลี้ยงต้องมีของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงให้มันเล่น เอาขนมใส่ถุงกระดาษหรือขวดพลาสติกปากกว้างให้มันคุ้ยเขี่ยเล่นและจดจ่อจนไม่มีเวลาไปซนที่อื่น และต้องมีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ให้มันปีนป่ายเล่น

แรคคูนที่ถูกเลี้ยงในกรงแคบๆตลอดเวลาจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดุร้ายมาก

อาหาร:
สถานที่เลี้ยงต้องมีถ้วยใส่อาหาร และถ้วยใส่น้ำวางไว้ตลอดเวลา
แรคคูนกินได้หลายอย่างทั้งเนื้อและพืชผักผลไม้ อาหารสุนัข(ไม่ผสมธัญพืช) เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ไก่ต้ม ถั่ว หนอน แมลง สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก และแหล่งโปรตีนอื่นๆ
ในวันนึงอาจจะให้เป็นอาหารสุนัข ปนกับอาหารเสริมอย่างที่กล่าวมาข้างบน วันละ 2-3 ครั้ง อย่าให้มากเกิน เพราะจะทำให้อ้วน

เวลาให้อาหารกินเล่นต่างๆเช่น ถั่่ว เมล็ดพืช  หนอน จิ้งหรีด แนะนำให้ใส่ในภาชนะที่มันต้องขุดคุ้ยควาญหาเช่นโหลพลาสติก เพื่อเป็นการจำลองการหาอาหารในธรรมชาติของมัน
และช่วยให้มันไม่เบื่อจนไปทำลายข้าวของเล่นด้วย

แรคคูนจะหยิบอาหารไปจุ่มกับน้ำในถ้วยใส่น้ำก่อนจะกิน ทำให้บริเวณที่กินอาหารเลอะเทอะ และต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ
เหตุผลที่มันเอาอาหารไปจุ่มน้ำ เป็นเพราะพวกมันจะใช้ประสาทการรับรู้ที่มือตรวจสอบสิ่งที่มันชุบน้ำ ว่ากินได้หรือไม่

Thursday, February 28, 2019

Leachianus Gecko

Giant Leachianus Gecko / New Caledonian Giant Gecko

ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhacodactylus Leachianus หรือ R. l. leachianus และอีกชนิดคือ  R. l. henkeli.
ระดับความยุ่งยากในการเลี้ยง: ค่อนข้างสูง

เป็นสัตว์ตระกูล Gecko ชนิดที่ใหญ่ทีสุดในโลกในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะ นิวแคลิโดเนีย (New Caledonia) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับออสเตรเลีย
ขนาดของ R. l. leachianus อยู่ระหว่าง 14-17 นิ้วรวมหาง ส่วน R. l. henkeli. อยู่ที่ 9-12 นิ้ว  สีของทั้งสองชนิดมีหลากหลาย ทั้งแต่สีเขียวตะไคร่ สีน้ำตาล สีทอง และเทา
อายุขัยเฉลี่ย: มากถึง 20 ปี หรือนานกว่านั้น เคยมีคนเอาตัวที่โตแล้วมาเลี้ยงได้ถึง 30 ปี(ยังไม่นับอายุขัยก่อนที่จะเอามาเลี้ยง)

พฤติกรรม:
พวกมันสามารถส่งเสียงร้องได้หลายรูปแบบในเวลากลางคืน และสื่อสารกับตัวอื่นด้วยเสียง
เก็กโคชนิดนี้จะหลับตอนกลางวัน และออกเดินสำรวจในตู้เวลากลางคืนอย่างคึกคัก

Tips การจับและถือสัตว์ชนิดนี้:

ตัวที่ยังเด็กๆ จะชอบกระโดดออกจากมือเรา จึงต้องระวัง ส่วนตัวโตให้เอามือจับบริเวณคอและเอาอีกมือประคองใต้ขามัน ก่อนจะปล่อยให้มันอยู่บนมือ
ควรจับพวกมันตอนเผลออย่างรวดเร็ว อย่าให้มันเห็นการขยับมือของเรามาแต่ไกล ไม่งั้นเก็กโคอาจรู้สึกกลัวและพุ่งกัดได้ ซึ่งเจ็บพอสมควร เพราะอย่างนี้ถุงมือหนาๆจึงช่วยลดอันตรายได้
พวกมันจะเริ่มกลัวน้อยลง หลังจากเราฝึกให้มันอยู่บนมือ(อย่างเบาๆทะนุถนอม)เรื่อยๆ และจะยอมให้จับง่ายขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีบางตัวที่ไม่ชอบขึ้นมือคนเลยเหมือนกัน
เวลาเก็กโคอยู่บนมือไม่ควรห่อมือหรือใช้นิ้วจับมันไว้ ให้ทำมือเหมือนเป็นกิ่งไม้สำหรับเกาะ ถ้ามันทำท่าเตรียมกระโดดหรือเดินไปเรื่อยๆ ก็ให้ยื่นมืออีกข้างมารองรับ


อาหารและน้ำ:
สามารถให้อาหารสำเร็จรูปของ crested gecko กินได้(ยี่ห้อ Repashy Superfoods) สั่งซื้อได้จากอเมซอน ebay หรือจตุจักรบางร้าน
นอกจากนี้ก็ควรให้จิ้งหรีด หรือแมลงสาบDubia และ waxworm คลุกกับแคลเซียม D3 และวิตามินกับผงแร่ธาตุ ส่วนมากมันจะไม่สนจิ้งหรีดเท่าไหร่ จะชอบแมลงสาบมากกว่า
ขนาดของแมลงที่จะให้ ให้เลือกขนาดประมาณระยะห่างของลูกตาของ Leachianus Gecko

ผู้เลี้ยงบางเว็ปจะให้อาหาร 4 ครั้งต่อวัน เป็นอาหารสำเร็จรูปวันเว้นวัน(เช่น จันทร์ พุธ ศุกร์) พวกเก็กโคชอบกินอาหารสำเร็จรูปที่เริ่มสุกงอมหลังจากทิ้งไว้ข้ามคืน
ส่วนวันอาทิตย์จะให้แมลงคลุกผงแคลเซียม ควรให้อาหารเวลากลางคืน
ควรมีถ้วยหรือถาดตื้นๆ ใส่น้ำสำหรับดื่มตลอดเวลา

เก็กโคที่พึ่งเกิดจะไม่กินอาหารราว 3-5 วันหลังจากฟักตัว หลังจากนั้นเราถึงสามารถเอาอาหารสำเร็จรูปเทไว้ในจานเตี้ยๆให้มันกิน คู่กับ จิ้งหรีดตัวเล็กคลุกผงแคลเซียม+วิตามิน

*คำเตือน* ห้ามให้อาหารเด็กทารกกับเก็กโคพวกนี้ ไม่งั้นมันจะโตขึ้นอย่างพิกลพิการ เพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น

สถานที่เลี้ยง:
แม้ว่าถิ่นกำเนิดของมันจะมีอุณหภูมิระหว่าง 15 องศา ถึง 32 องศาเซลเซียส แต่หลายเว็ปแนะนำให้ควบคุมอุณหภูมิเลี้ยงอยู่ที่ 22-27 องศา

ตู้เลี้ยงควรเป็นตู้ทรงสูงข้างบนเป็นตาข่าย/มุ้งลวด ขนาด 18 x 18 x 24 เป็นอย่างต่ำ ควรเลี้ยงแค่ 1 ตัว ต่อตู้  สำหรับตัวที่ยังเด็กให้เลี้ยงในตู้ที่เล็กกว่านี้เพราะถ้าอยู่ที่ใหญ่ไป มันจะเครียด
ในตู้ควรมีที่ซ่อนเป็นวัสดุรูปร่างเหมือนกระบอกกลวงๆ ทำจากเปลือกไม้ หาได้จากร้านใหญ่ๆในจตุจักร หรือจะใช้ท่อ pvc หรือ กระบอกไม้ไผ่ก็ได้  และต้องมีกิ่งไม้หรืออะไรให้มันปีนป่ายด้วย

วัสดุรองพื้น ใช้เป็นพีทมอส ขุยมะพร้าว ดินออกานิก ปูหนาสองนิ้ว หรือมากกว่านั้น
เนื่องจาก Leachianus Gecko อยู่ในตระกูลเก็กโค สถานที่เลี้ยงเลยไม่จำเป็นต้องมีพวกหลอดไฟUVใดๆ

ความชื้นในที่เลี้ยงอยู่ระดับ 50-80% อากาศในไทยทั่วไปก็ราวๆนี้อยู่แล้ว ผมเลยไม่แน่ใจว่าต้องคอยฉีดละอองน้ำใส่ตู้อาทิตย์ละสามสี่ครั้งเหมือนเว็ปฝรั่งมั้ย
ถ้าจะฉีดละอองน้ำ ก็พยายามฉีดให้โดนผนังตู้มากกว่าของตกแต่งในตู้อื่นๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคก่อนตัวจากมุมอับชื้น

เก็กโกพันธุ์นี้เป็นโรคผิวหนังง่ายและส่งผลให้มันตาย จึงต้องระวังไม่ให้ตู้เลี้ยงหมักหมมหรือชื้นเกินไป

Tuesday, November 13, 2018

สเตปป์ เลมมิ่ง

สเตปป์ เลมมิ่ง ( Steppe lemming )

สเตปป์ เลมมิ่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagurus lagurus) เป็นสัตว์เลี้ยงที่แพร่หลายในยุโรป ขณะที่ในอเมริกาพวกมันกลับเป็นสัตว์เลี้ยงหายาก

มีต้นกำเนิดอยู่แถวทุ่งหญ้าสเตปป์ ในรัสเซียกับยูเครน และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
พวกมันมีอายุขัยเฉลี่ยราวสองปี  ลำตัวยาว 8-12 เซนติเมตร ส่วนมากจะตื่นตัวในตอนกลางคืน แต่ในเวลาอื่น ถ้ามีอาหารหรืออะไรดึงความสนใจก็จะตื่นมาทำกิจกรรมได้ ความยากในการเลี้ยงค่อนข้างสูงกว่าแฮมสเตอร์
อุณหภูมิเลี้ยงควรต่ำกว่า 28 องศา

พฤติกรรม:
เลมมิ่ง ค่อนข้างเชื่อง ฉลาด และขี้สงสัยกับสิ่งรอบตัว  ไม่ก้าวร้าวใส่คนนัก นานๆทีถึงจะกัดและแทบไม่เจ็บเลย มีกลิ่นน้อย
เวลาอุ้มเล่นบนมือ ควรจะนั่งที่พื้น เผื่อมันตกลงมา จะได้ไม่บาดเจ็บมาก

อาหารและน้ำ:
น้ำ ใส่ในจานตื้นๆ หรือกระบอกน้ำของหนูแฮมสเตอร์  แต่เลือกอุปกรณ์อย่างหลังดีกว่า เพราะไม่ต้องเสี่ยงว่าจะมีอะไรหล่นไปขังในน้ำ

อาหาร ต้องเป็นอาหารที่ปราศจากน้ำตาล และห้ามให้กินผลไม้ เพราะการได้รับน้ำตาลจะทำให้มันตายได้ อาหารสำเร็จรูปของหนูต่างๆก็อันตรายสำหรับมัน เพราะอาจมีพวกผลไม้แห้งเจือปน
อาหารที่ให้ได้จึงมี หญ้าต่างๆ เช่นหญ้าอัลฟาฟ่า ที่ให้กระต่ายกินกัน และผักสีเขียวต่างๆ

ตู้เลี้ยง:

เลมมิ่งเป็นสัตว์สังคม จึงไม่ควรเลี้ยงตัวเดียวเด็ดขาด ควรเลี้ยงเลมมิ่งร่วมกันตั้งแต่ตอนยังเล็กๆเลย เพราะถ้าเราซื้อตัวที่โตแล้วจากคนละร้านมาอยู่ด้วยกัน พวกมันจะกัดกันเองได้
จำกัดจำนวนตัวผู้ให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้พวกมันสู้กันแย่งตัวเมีย หรือเลี้ยงแค่เพศเดียวล้วนๆ

ต้องเลี้ยงในตู้ปลา ห้ามเลี้ยงในกรง ทำความสะอาดตู้อาทิตย์ละครั้ง
ตู้ขนาด 2 ฟุต สามารถเลี้ยงเลมมิ่งได้ 2-6 ตัว  ส่วนตู้ 3 ฟุต เลี้ยงได้โหลนึง  ไม่ควรเลี้ยงในตู้เล็กกว่า 2 ฟุต   ฝาของตู้เลี้ยงเป็นตาข่ายลวดเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก
พวกมันปีนไม่ค่อยเก่ง แต่ชอบขุดดิน ในตู้จึงควรมีวัสดุรองพื้นหนาๆ ประมาณ 20 เซนฯได้ ยิ่งดี
ก้นตู้ให้ปูด้วยขี้เลื่อยที่ทำจาก aspen ประมาณ 10 เซนฯ  ส่วนผิวหน้าอีก 10 เซนฯ ให้ปูด้วยหญ้าแห้ง พวก hay ต่างๆ
ซึ่งหญ้าพวกนี้ เลมมิ่งจะเอามาใช้ทำรัง หรือกินเป็นอาหาร

ของเล่น สามารถใส่ได้ทั้งอุโมงค์ของหนูแฮมสเตอร์ หรือ ล้อวิ่ง
ใส่วัสดุทำจากไม้ให้มันแทะด้วย เช่น ไม้ไอติม หรือไม้สำหรับแทะสำเร็จรูป

Friday, August 17, 2018

หอยทาก

หอยทาก(Snail) เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่ดูแลค่อนข้างง่าย จับเล่นได้ ไม่เรื่องมากเรื่องอาหาร และอายุยืน
แม้ว่าพวกมันจะเชื่องช้า แต่ก็จะทำกิจกรรมน่าสนใจให้เราดูในตู้เลี้ยงเสมอ
เป็นสัตว์ที่ตื่นตัวในตอนกลางคืน

นอกจากนี้ เรายังไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อหอยทากเลย แค่เดินหาชนิดที่ถูกใจในสวนหลังบ้านเรา ก็จับมาเลี้ยงได้แล้ว

อายุขัยเฉลี่ยของพวกมันคือ 3-7 ปี

แม้ว่าจะเลี้ยงตัวเดียวได้ เราควรเลี้ยงอย่างน้อยคู่หนึ่งจะดีกว่า หอยทากเป็นสัตว์สังคมมากกว่าที่เราคิด และการเลี้ยงสองตัวขึ้นไป ก็จะทำให้เราได้เห็นกิจกรรมทางสังคมของมันด้วย

หอยทากสามารถสืบพันธุ์โดยไม่มีคู่ได้ ดังนั้นต่อให้เลี้ยงตัวเดียวหรือมากกว่านั้น มันก็ออกไข่ได้อยู่ดี (คอยกำจัดไข่ของมัน ถ้าไม่อยากได้ลูกเพิ่ม)


อาหาร:

หอยทากส่วนมากไม่จู้จี้เรื่องอาหาร ขอให้เป็นผักผลไม้สดก็พอ ง่ายๆเลยก็ แตงกวา ผักกาด กะหล่ำปลี กล้วย และควรให้อาหารทุกวัน  ถ้าเป็นแครอท อาจจะต้องเอาไปต้มซักสองสามนาทีให้นุ่มก่อน
ลองให้ผักต่างๆนอกเหนือจากที่ยกตัวอย่างดู มันชอบอันไหน มันก็จะกินอันนั้น อันไหนไม่ชอบ มันก็แค่ไม่กิน
บางตัวก็กินเนื้อสด ไข่ดิบ ขนมปังโฮลวีต และอาหารเต่า เราสามารถลองให้เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการได้

นานๆทีก็ให้มันกินเบียร์ซักหยดสองหยด เพราะยีสต์ในเบียร์มีประโยชน์กับมัน แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร
อาหารทุกอย่างควรใส่ไว้ในจานเตี้ยๆ เพื่อไม่ให้เปรอะวัสดุรองพื้น

คอยเอาเศษอาหารออกทุกสองสามวัน เพื่อไม่ให้เชื้อราขึ้น

นอกจากนี้ในตู้ก็ต้องมีจานใส่น้ำทรงแบน ให้หอยทากดื่มกิน หรือลงไปอาบเล่น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น อย่าใช้ภาชนะก้นลึกเพราะหอยทากอาจจมลงไปได้ และต้องเป็นน้ำดื่มไม่มีคลอรีน

อาหารที่ห้ามให้ - อาหารเค็มมีเกลือ ข้าวหรืออะไรที่เป็นเมล็ดแข็งๆเล็กๆเพราะจะไปอุดตันในท้อง ผลไม้พวกมะนาวส้ม มะเขือเทศ

แคลเซียม:

เวลาเลี้ยงต้องให้แหล่งแคลเซียมกับหอยทากทุกวันด้วย: เช่นจากกระดองปลาหมึก ซึ่งมีขายเป็นแพ๊คสำหรับวงการคนเลี้ยงนก เอาใส่ไว้บนจานตลอดเวลา จะได้ไม่นิ่มง่าย หลังจากทิ้งไว้ในตู้หลายวันก็หยิบออกไปตากให้มันแห้งแล้วค่อยใส่คืน จะได้ประหยัด ระหว่างนั้นก็สลับเอากระดองปลาหมึกอันอื่นใส่จานแทนไปก่อน

เวลากินหอยทากจะขึ้นไปนั่งบนกระดองปลาหมึก แล้วดูดกินแคลเซียมผ่านทางเท้ามัน

ตัวเลือกต่อมาคือแคลเซียมผง เอามาคลุกกับผักที่มันกิน หาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะร้านในจตุจักร
ใช้เปลือกใข่ก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีคุณค่าด้านแคลเซียมเท่าสองอย่างแรก  เอาไว้เป็นแหล่งแคลเซียมฉุกเฉินเท่านั้น

พฤติกรรม:
ปรกติแล้วหอยทากจะซ่อนตัวตอนกลางวัน และออกมาตอนกลางคืน


ตู้เลี้ยง:

ใช้ตู้พลาสติกที่เลี้ยงปลา ขนาดอย่างต่ำ 12 นิ้ว ใหญ่กว่านี้ได้ยิ่งดี มีฝาปิด และรูระบายอากาศ
แต่ถ้าเป็นหอยทากพันธุ์เล็ก จะเลี้ยงในกล่องทัพเพอร์แวร์พลาสติกเล็กๆก็ได้ อย่าลืมเรื่องรูระบายอากาศและฝาปิด

- ใส่วัสดุรองพื้นประมาณ 4-10 เซนติเมตร

- ใส่เปลือกไม้ เช่นเปลือกไม้โอ๊ค ให้เป็นที่ซ่อน หรือฝังกระถางพลาสติกเล็กๆไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ดูเหมือนถ้ำ
บางชนิดก็ชอบซ่อนตัวตามก้อนหิน หรือปีนขึ้นที่สูงเพื่อพักผ่อน(เช่นฝาตู้)

- ใส่พวกกิ่งไม้ลงไปในตู้ เพราะหอยทากบางตัวชอบปีนป่าย

- อย่าวางตู้ในตำแหน่งที่โดนแดด แสงยิ่งน้อยยิ่งดี

- ทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งถึงเดือนละครั้ง แล้วแต่ความสกปรกของตู้



วัสดุรองพื้น:
ปัญหาอย่างหนึ่งในการเลี้ยงหอยทากคือการเลือกวัสดุรองพื้น ถ้ามันไม่ชอบ หรือเป็นกรดเกินไป คือมีค่า pH ต่ำกว่า pH 7 หอยทากก็จะเกาะอยู่ที่ฝาตู้เลี้ยงตลอดเวลา ไม่ยอมลงมาเลย

ให้ลองใช้วัสดุตามนี้ครับ
- ขุยมะพร้าว   ซื้อจากร้านขายต้นไม้ดอกไม้  ควรใช้เป็นตัวเลือกแรกๆ แต่หอยทากบางตัวก็ไม่ชอบ เพราะทำให้มันรู้สึกจั๊กจี้ตอนเดิน
- ดินที่ไม่ผสมปุ๋ย และไม่มียาฆ่าแมลง  มี pH สูงกว่า 7 (ดูจากฉลากของถุง แต่ผมไม่รู้ว่าดินในไทยมีเขียนบอกมั้ย)
- ถ้าใช้ดินจากสวนในบ้าน ให้เอาแช่ตู้เย็นก่อน เพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาจทำอันตรายหอยทาก แต่เว็ปต่างๆไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ดินจากที่บ้านเท่าไหร่
- สแฟกนัม มอส (Sphagnum Moss)
- เปลือกไม้
- วัสดุรองพื้นระดับสากล อย่าง Eco Earth ของ Zoomed ใช้ได้กับสัตว์เลี้ยงหลายชนิดเลย

การอาบน้ำ:

ควรอาบน้ำให้หอยทาก อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อกำจัดเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ แต่ถ้าเป็นลูกหอยทากที่ตัวเล็กมาก ไม่ต้องอาบก็ได้
วิธีอาบมีหลายวิธี
ห้ามใช้สบู่แชมพูทุกขั้นตอน และอย่าจับหอยทากหงาย เพราะน้ำจะไปขังในเปลือก

วิธีแรก
1. เอาหอยทากมาวางไว้บนมือ ถ้าเป็นไปได้ควรให้มันปีนขึ้นมือเอง
2. ใช้แปรงสีฟันเก่าที่ขนนุ่ม หรือ ผ้านุ่มๆ กระดาษทิชชู่ เช็ดถูเปลือกหอยทากเบาๆ อย่าออกแรง
3. ค่อยๆรดน้ำจากด้านบนของเปลือกหอยทาก  หรือจะเอากระบอกฉีดน้ำ  ฉีดใส่แทนการรดน้ำก็ได้
4. ปล่อยให้เปลือกมันแห้ง  และให้อาหารเป็นรางวัล

วิธีที่สอง
วางจานใส่น้ำตื้นๆ แล้วอุ้มหอยทางมาวางตรงขอบจาน แล้วให้มันเดินลงน้ำเอง ควรระวังถ้าน้ำลึกเกินไปหอยทากอาจจมได้

บางคนก็ใช้วิธีง่ายๆ อย่างการอุ้มหอยทากมาถือไว้ตรงอ่างล้างจาน แล้วเปิดก๊อกเบาๆราดตัวมัน หรือให้มันยื่นหัวหาน้ำที่ไหลลงมาเอง แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าคลอรีนปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงชนิดนี้


TIPS & TRIVIA

- ล้างมือถูสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง หลังสัมผัสกับหอยทาก

- เวลาเลี้ยงต้องให้วัสดุรองพื้นมีความชุ่มชื้นตลอดเวลา แต่อย่าให้ถึงกับเปียกโชก
ใช้กระบอกฉีดน้ำแบบที่ใช้ฉีดตอนรีดผ้า ฉีดน้ำสะอาดไม่มีคลอรีนลงในตู้และที่ตัวหอยทากทุกวัน
ถ้าวัสดุรองพื้นแห้งเร็ว แปลว่าตู้ของเรามีรูมากไป ในทางกลับกัน ถ้าตู้ดูเฉอะแฉะตลอดเวลา ก็แปลว่าในตู้มีรูระบายความชื้นไม่พอ

- ห้ามเอาหอยทากจากต่างประเทศ มาเลี้ยงรวมกับตัวที่มาจากไทย เพราะพวกมันอาจป่วยเมื่อได้รับแบคทีเรียหรือพยาธิ จากหอยทากที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันได้

- หอยทากต่างประเทศที่เราไม่อยากเลี้ยงแล้ว ให้ประกาศส่งต่อให้คนอื่นผ่านทางเว็ปไซต์ต่างๆ (เช่นกลุ่มแจกสัตว์เลี้ยง ในเฟซบุ๊ค)
ห้ามปล่อยลงในธรรมชาติเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศ เพราะพวกมันไม่ใช่สัตว์ในไทย
หรือถ้าจนปัญญาหาคนมารับต่อไม่ได้จริงๆ เว็ปฝรั่งแนะนำว่าให้ทำการุณยฆาตด้วยการเอาหอยทากใส่ถุงพลาสติกปิดปาก แล้วแช่ช่องฟรีซ แต่ผมเชื่อว่ามีคนอยากรับเลี้ยงต่อกันอยู่แล้ว

ส่วนหอยทากเราที่จับมาเลี้ยงจากตามพื้นดินแถวบ้าน สามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้ตามปรกติ

- ห้ามให้หอยทากโดนเกลือเด็ดขาด  และถ้าหอยทากเผลอไปสัมผัสกับเกลือ ให้รีบล้างด้วยน้ำดื่มสะอาดทันที

- ถ้าหอยทากไม่ได้รับแคลเซียมนานๆ มันจะเริ่มกินเปลือกตัวเอง

- แม้จะดูเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีหน้าตาไม่น่าดึงดูด แต่กลับมีสาวๆหลายคนใน YouTube เลี้ยงดูพวกมันและอุ้มถืออย่างไม่รู้สึกแขยงเลย

Wednesday, August 1, 2018

วิธีเลี้ยง ทารันทูล่า

วิธีเลี้ยง ทารันทูล่า

หัวข้อนี้จะแนะนำวิธีเลี้ยงทารันทูล่าสายพันธุ์ดินทั่วไปครับ เช่น Brachypelma, Aphonopelma, GBB, Grammostola และชนิดอื่นๆที่เลี้ยงคล้ายกัน
สำหรับพันธุ์ต้นไม้ตระกูล Avicularia กับ Caribena versicolor ผมเขียนวิธีเลี้ยงในหน้า ทารันทูล่า2 แล้ว

ข้อดีของทารันทูล่า:

1. ให้อาหารเพียงอาทิตย์ละครั้ง  ส่วนน้ำ ก็แค่คอยดูให้มีอยู่ในถ้วยตลอด
2. ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง
3. ขับถ่ายน้อยมาก เปลี่ยนวัสดุรองพื้นแค่ 1-3 เดือนครั้ง  แทบไม่ต้องเสียเวลาดูแลมากเลย
4. ทน และอึด สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยง บางตัวที่เตรียมลอกคราบ อาจไม่ยอมกินอาหารถึงปีเลยทีเดียว
5. อายุยืน  เพศเมียอาจจะอยู่ได้ถึง 10-30 ปี แล้วแต่สายพันธุ์  ส่วนเพศผู้จะอายุสั้นกว่าประมาณครึ่งนึง
6. มีหลายสายพันธุ์ที่นิสัยเรียบร้อย ต้องให้จวนตัวจริงๆถึงจะกัดคน บางพันธุ์พิษก็อ่อนมาก โดนกัดอาจจะแค่คันเบาๆไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เว้นแต่จะโชคร้ายเป็นคนที่แพ้พิษมัน
แต่สายพันธุ์ดุ และพิษแรง ก็มีมากมายเช่นกัน จึงควรหาข้อมูลก่อนจะเลี้ยง

ข้อด้อย:
1. เป็นสัตว์เลี้ยงที่วันๆไม่ค่อยขยับตัวให้ดูซักเท่าไหร่ ยกเว้นบางสายพันธุ์
2. ต้องให้อาหารเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นพวกหนอนนก จิ้งหรีด


วิธีเลี้ยงทารันทูล่าที่ยังไม่โต (Sling)

Sling ย่อมาจาก คำว่า Spiderling ที่แปลว่าลูกแมงมุม ไซส์ที่เรียกว่า sling คือไม่เกิน 1.5 นิ้ว บางคนก็ใช้เกณฑ์กำหนดไซส์ของ Sling จากจำนวนครั้งของการลอกคราบ ไม่เกิน 4คราบ
ตัวใหญ่กว่านี้เรียกว่าไซส์ juvenile ซึ่งจะเริ่มมีสีคล้ายกับตอนโตเต็มวัย  จากนั้นก็จะเข้าสู่วัย sub adult ซึ่งคือเกือบโตเต็มที่แล้ว
และสุดท้ายคือขนาดที่โตเต็มที่

สถานที่เลี้ยง:

- ลูกแมงมุมที่เล็กมากๆใช้ภาชนะเลี้ยงเป็น กระปุกพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (แบบที่ใส่พวกน้ำสลัด น้ำจิ้มต่างๆ) หรือกระปุกใส่ยา ที่ฝรั่งเรียกว่า pill vial ลองเซิร์จหารูปดู
ความกว้างของภาชนะ เอาแค่กว้างกว่าตัวและขาแมงมุม 2-3 เท่าพอ ถ้ากว้างเกินไป ลูกแมงมุมจะเดินหาเหยื่อไม่เจอ ส่วนลูกแมงมุมที่โตกว่า 1.5 นิ้ว สามารถเลี้ยงในกล่องพลาสติกใสสวยๆแทนพวกกระปุกได้ แต่ก็ควรใหญ่กว่าแมงมุมแค่ 2-4 เท่า
- เลี้ยงแค่หนึ่งตัวต่อหนึ่งภาชนะ
- เจาะรูระบายอากาศให้เล็กพอที่แมงมุมจะมุดหนีไม่ได้ รูควรเล็กกว่าลำตัวมัน(ส่วนที่มีขางอกออกมา) ถ้ารูใหญ่กว่า "ลำตัว" ทารันทูล่าจะพยายามมุดหนี แล้วส่วนก้นป่องๆของมันก็จะติดรู เพราะส่วนนั้นใหญ่กว่าลำตัว ทำให้แมงมุมตายคารูได้

- เวลากลางวัน เก็บภาชนะเลี้ยงไว้ในตำแหน่งที่เย็นที่สุดของบ้านที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศา ถ้าได้ซัก 27-28 องศายิ่งดี เพราะแมงมุมต้องอยู่ในกระปุกเล็กๆที่อบอ้าวและมีรูระบายอากาศนิดเดียวตลอดเวลา จึงต้องช่วยให้แมงมุมรู้สึกสบายที่สุด
พอกลางคืนอากาศเย็นขึ้น หรือเข้าฤดูที่อากาศเย็นสบาย ค่อยเอามาวางไว้ดูเล่นใกล้ตัวได้
ควรระวังเรื่องมดด้วย

- ใส่วัสดุรองพื้นเป็นขุยมะพร้าวหรือพีทมอส ปูพื้นภาชนะให้หนาพอที่ลูกแมงมุมจะสามารถขุดเป็นรูซ่อนตัว และวัสดุรองพื้นยังช่วยเป็นเบาะนุ่มๆกันกระแทกเวลาแมงมุมปีนแล้วตกลงมาด้วย

ควรใส่วัสดุรองพื้นหนาอย่างน้อยประมาณ 3 ใน 10 ของความสูงของภาชนะเลี้ยง ถ้าใส่บางไปจะแทบไม่มีประโยชน์เลย
วัสดุรองพื้นที่เป็นขุยมะพร้าว กับ พีทมอส หาได้ง่ายๆจากร้านขายต้นไม้ดอกไม้ ซื้อครั้งเดียวใช้ได้เป็นชาติ เพราะนานๆถึงจะได้เปลี่ยนวัสดุรองพื้นที  ร้านขายอาหารสัตว์บางร้านก็มีขาย
อย่าใช้ทรายหรือหิน หรืออะไรทื่แข็งๆเป็นวัสดุรองพื้น

เปลี่ยนวัสดุรองพื้นทุก 1-3 เดือน หรือเมื่อเห็นว่ามันเลอะมากแล้ว

-ลูกแมงมุมบางตัวที่ไม่มุดดิน อาจต้องการถ้ำเพื่อใช้เป็นบ้าน วิธีส่วนตัวของผมคือเอากระดาษแข็ง หรือนามบัตร มาตัดให้พอดี แล้วหักสองด้านจนคล้ายรูปตัว U (แต่ก้นไม่ต้องโค้ง) แล้วเอาไปวางคว่ำในภาชนะให้ปลายกระดาษฝังลงไปในดินพอสมควรเพื่อไม่ให้มันล้มง่าย แค่นี้ก็ได้ถ้ำแล้ว

อาหาร:

หนอนนกขนาดเล็ก ลูกจิ้งหรีดที่ตัวเล็กเท่าหัวเข็ม ขาจิ้งหรีด ลูกแมลงสาบDubia แมลงหวี่ไร้ปีก(เห็นเฟซบุ๊คร้าน Beetle Hub มีขาย)
เนื่องจากเป็นลูกแมงมุม เลยสามารถให้อาหารบ่อยประมาณทุก 2-3 วันได้ เพราะตามธรรมชาติ ลูกแมงมุมต้องรีบโตให้เร็วที่สุดก่อนจะถูกนักล่าจับกิน พอมันโตแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้ง

หนอนนกมีสองสายพันธุ์คือแบบขนาดปรกติ สีเหลืองครีม กับหนอนนกพันธุ์จิ๋ว สีเข้มออกเหลืองผสมดำ
หนอนนกอย่างหลัง จะหาได้จากคนขายแมงมุมบางเจ้า ซึ่งเค้าจะแถมมาให้กับแมงมุมที่ซื้อ หนอนพวกนี้เพาะง่ายมาก ขนาดผมแทบไม่ดูแลยังออกลูกมายั๊วเยี้ยกว่าพันธุ์ปรกติอีก

หนอนนกชนิดปรกติส่วนมากหาได้จากร้านขายปลาเลี้ยง หรือร้านขายอุปกรณ์ตกปลา เก็บรักษาง่ายพอๆกับอาหารเม็ด (ถ้าไม่คิดจะเพาะพันธุ์มัน)

เวลาให้อาหาร ควรใช้ปากคีบบีบหัวหนอนนกให้อยู่ในสภาพปางตายก่อน เพื่อไม่ให้มันมุดดินหนี ที่ต้องทำแบบนี้เพราะหนอนที่หนีไปใต้ดิน จะขึ้นมากัดกินทารันทูล่าตอนกำลังลอกคราบ เพราะตอนนั้นทารันทูล่าจะขยับตัวไม่ได้

ถ้ามีแต่หนอนนกที่ขนาดใหญ่กว่าลูกแมงมุม ให้เอากรรไกรตัดหนอนเป็นชิ้นเล็กๆ เพราะลูกแมงมุมบางตัวอาจจะไม่กล้ากินอาหารที่ใหญ่กว่าตัวมัน น้ำเยิ้มๆจากตัวหนอนที่ถูกตัด จะช่วยให้แมงมุมรับอาหารง่ายขึ้น
สำหรับลูกแมงมุมบางตัวที่กินยาก เราอาจต้องหย่อนอาหารข้างหน้ามันเลย


วิธีเก็บหนอนนก(แบบไม่ใส่ใจมาก): 

ใส่ในกล่องเล็กๆอะไรก็ได้ เจาะรูระบายอากาศพอสมควรที่ฝาหรือด้านข้าง
ให้อาหารเป็นอาหารปลาเม็ด หรืออาหารไก่ ทุก 5 วัน และฉีดน้ำบางๆให้มันดื่มด้วย  ผมเลี้ยงแบบนี้อัตราการตายอยู่แค่ 5% ต่ออาทิตย์ครับ แต่หนอนจะดูไม่อวบอ้วนเหมือนตอนซื้อจากร้านเท่าไหร่ (ถ้าเพิ่มความถี่เป็นทุก 2-3 วัน อาจได้ผลลัพธ์ดีกว่านี้)
วิธีนี้ ผมซื้อหนอนมา 5 บาท อยู่ได้เดือนนึงเลย

ข้อดีคือ ไม่เสี่ยงมีกลิ่นเหม็นเน่า เหมือนเวลาให้ผักเป็นอาหารแล้วโชคร้ายผักเกิดเน่า หนอนที่เลี้ยงด้วยอาหารปลาเม็ดกลิ่นจะคงที่ตลอด ไม่ว่าหนอนจะตายไปกี่ตัว เพราะยังไงก็จะมีแค่กลิ่นอาหารปลาอยู่ในกล่องเลี้ยงอย่างเดียว

อย่าเก็บหนอนไว้ใกล้ทารันทูล่า เพราะถ้าเกิดมีมดขึ้นที่กล่องหนอน ทารันทูล่าจะพลอยซวยไปด้วย

วิธีเก็บหนอนนกที่ง่ายสุดคือเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา เพราะมันจะอยู่ในสภาพจำศีล เราไม่ต้องให้อาหารหรือน้ำเลย

ส่วนวิธีการเก็บหนอกนกแบบอุดมสมบูรณ์จนมันออกลูกออกหลาน ให้ไปค้นหาใน google ละกันครับ

น้ำ:
ใช้กระบอกฉีดน้ำแบบที่ใช้รีดผ้า ฉีดใส่ผนังของภาชนะเลี้ยง อย่าให้เปียกโชกมาก ให้เห็นหยดใหญ่ๆซักหยดสองหยดพอ
ลูกแมงมุมจะไต่ผนังมาดื่มน้ำเอง
ควรให้น้ำทุก 3 วัน  หรืออย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง  ลูกแมงมุมขาดน้ำไม่ได้นานเท่าตอนโต
ใช้น้ำที่คนดื่ม ห้ามใช้น้ำปะปา

จะใช้ฝาขวด หรือสิ่งของอะไรที่เป็นทรงถ้วยขนาดเท่าฝาขวด เป็นภาชนะใส่น้ำก็ได้
แต่ถ้ามีถ้วยใส่น้ำแล้ว ก็ไม่ต้องฉีดน้ำใส่ผนังภาชนะ ไม่งั้นจะชื้นไป

พฤติกรรม:
ลูกแมงมุมมักจะขุดรูอยู่ใต้ดินมากกว่าตัวที่โตแล้ว แต่บางสายพันธุ์ก็อยู่บนดินตลอด
ส่วนมากชอบอยู่เฉยๆที่จุดใดจุดหนึ่งของภาชนะเลี้ยง บางชนิดก็ชอบเดินเล่น
ถ้าอยากได้ชนิดที่ขยับตัวบ่อยๆให้เราดูและอยู่บนดิน ให้เลือก B. albopilosum(curly hair),  B. verdezi, G. pulchripes (Chaco golden knee),  G. pulchra (Brazilian Black), GBB(ขี้ตกใจ เร็ว แต่ไม่ดุ), Euathlus sp Red, Tiger rump, Aphonopelma chalcodes โรซีบางตัวก็ชอบเดิน
ลูกแมงมุมบางชนิดจะกางใยที่พื้นและขอบภาชนะ โดยเฉพาะ GBB ที่ชอบสร้างเขตของมันแบบอลังการ

การลอกคราบ:
แมงมุมจะลอกคราบเพื่อให้มันโตขึ้น
ลูกแมงมุมจะลอกคราบบ่อยกว่าแมงมุมโต ประมาณ 2-3 อาทิตย์ครั้ง หรือเดือนละครั้ง จากนั้นจะถี่น้อยลง ประมาณปีละครั้ง หรือยาวไปถึง 5 ปีครั้งเมื่อโตเต็มที่
ก่อนจะลอกคราบ แมงมุมจะหยุดกินอาหารที่เราให้เป็นเวลาหลายวัน และขยับตัวน้อยลง ท่าเดินดูติดๆขัดๆ
เมื่อถึงเวลาลอกคราบ แมงมุมจะนอนหงายแผ่ขาออกกว้าง  มือใหม่บางคนอาจนึกว่ามันตายแล้ว แต่ที่จริงคือท่าลอกคราบของมัน
พิธีกรรมลอกคราบของแมงมุมจะใช้เวลาไม่กี่นาทีจนถึงหลายชั่วโมง แมงมุมยิ่งโตยิ่งลอกคราบช้า ถ้าไม่อยากกังวลเปล่าๆปลี้ๆก็ควรปล่อยให้แมงมุมทำธุระของมันไป แล้วค่อยกลับมาดูวันต่อมาจะดีกว่า

ห้ามยุ่งกับแมงมุมตอนลอกคราบ ไม่งั้นมันอาจลอกคราบไม่สำเร็จและตาย แต่ก็มีข้อยกเว้น คือในกรณีที่แมงมุมทำท่าจะลอกคราบไม่ผ่าน เราสามารถฉีดละอองน้ำใส่ตู้เลี้ยง เพื่อช่วยแมงมุมลอกคราบได้

หลังลอกคราบ ควรรอให้ถึง 1 อาทิตย์ แล้วค่อยให้อาหาร เพราะช่วงนั้นร่างกายของแมงมุมยังอ่อนตัวอยู่

การตายและบาดเจ็บ:

- แมงมุมที่ตายจะขยุ้มตัวจนหดเล็กลง (คล้ายกับเวลาเรากำมือ ซึ่งขาของแมงมุมก็จะขดตัวเหมือนนิ้วเรา) ถ้ามันนอนหงายแผ่อ้าซ่าคือกำลังลอกคราบ
แต่บางตัวก็ตายแบบแผ่ๆเหมือนกัน
- แมงมุมที่ขาขาดจะงอกใหม่ได้เมื่อลอกคราบ

สรุป: อุปกรณ์ที่ต้องมี

- ภาชนะเลี้ยงมีรูระบายอากาศ ใส่วัสดุรองพื้นข้างใน
- ปากคีบ ฟอร์เซป  ใช้คีบอาหาร  และใช้หยิบเศษอาหารหรือคราบแมงมุมที่อยู่ในภาชนะเลี้ยงออกมา
- พู่กัน เอาไว้เขี่ยก้นแมงมุมให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ อย่าเขี่ยจากด้านหน้าเพราะมันจะนึกว่าเป็นเหยื่อและงับ และอย่าเขี่ยแกล้งแมงมุมเล่น
- กระบอกฉีดน้ำ แบบที่ใช้รีดผ้า  เอาไว้ฉีดน้ำใส่ผนังภาชนะเลี้ยงให้แมงมุมดื่มกิน (ถ้ามีถ้วยน้ำอยู่แล้วก็ไม่ต้องมีกระบอกก็ได้)

วิธีเลี้ยงทารันทูล่าที่โตเต็มวัย
1. ตู้เลี้ยงควรใหญ่ประมาณ 2-4 เท่า ของขนาดทารันทูล่า (วัดขากับตัวรวมกัน ถ้าแมงมุมขนาด 6 นิ้ว ก็ใส่ตู้ซัก 12-22 นิ้ว )
มีรูระบายอากาศเยอะๆ แต่อย่าให้รูระบายอากาศใหญ่กว่าลำตัว(ส่วนที่มีขางอกออกมา)
วัสดุรองพื้นคือพีสมอส  ขุยมะพร้าว ใส่ประมาณ 2-3 นิ้ว  ถ้าแมงมุมทำท่าจะทำอุโมงค์ ก็ปูพื้นให้หนาขึ้นอีก มันจะได้มีวัสดุทำอุโมงค์

2. ให้อาหารอาทิตย์ละครั้ง เป็นหนอนนก จิ้งหรีด แมงสาบ Dubia
ใส่หนอนนก หรือเหยื่อชนิดอื่นลงไปเรื่อยๆจนกว่าแมงมุมจะหยุดกิน แล้วจำจำนวนเหยื่อที่ถูกกินไว้  คราวหน้าจะได้ให้ประมาณนั้น (ถ้าเป็นหนอนนกควรใช้ปากคีบบี้หัวให้เกือบตายด้วย เพื่อป้องกันมันมุดดิน แล้วกลับขึ้นมากินทารันทูล่าตอนลอกคราบ)
ส่วนการให้น้ำ ก็เอาน้ำใส่ถ้วยเล็กๆวางไว้ในตู้เลี้ยง ไม่ต้องให้น้ำด้วยการฉีดน้ำที่ผนังแล้ว

3. ทารันทูล่าที่โตแล้ว ส่วนมากทนอากาศร้อนในไทยได้ดี  แต่กลางวันควรเอาภาชนะเลี้ยงวางไว้มุมเย็นๆของบ้านดีกว่า และต้องคอยดูมดด้วย

ขนาดของทารันทูล่า:
เป็นขนาดตัวเมียโตเต็มที่ และวัดขนาดของตัวรวมกับขาครับ
สายพันธุ์แคระ   1-3.5 นิ้ว เช่น Euathlus sp. Red/Yellow, Cyriocosmusต่างๆ, A. minatrix, Tiger rump
สายพันธุ์ขนาดกลาง 4-5 นิ้ว  เช่น A. bicoloratum, A. avicularia, A. hentzi, B. emilia
สายพันธุ์ขนาดทั่วไป 5-6.5 นิ้ว เช่น Brachypelmaต่างๆ, A. chalcodes, GBB, C. versicolor
สายพันธุ์ขนาดใหญ่ 7 นิ้วขึ้นไป เช่น โกลเด้นนี, G. pulchra, Megaphobema robustum


Tips: หมวดการเลี้ยง

- แม้ว่าทารันทูล่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทนทานมาก แต่ลูกแมงมุม ที่ขนาด 1-2 เซนฯ อาจจะตายได้ง่ายเหมือนกัน แม้ว่าจะเลี้ยงถูกวิธีแล้วก็ตาม เพราะบางตัวอาจจะอ่อนแอตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้าอยากลดความเสี่ยง ก็ให้เลี้ยงทารันทูล่าขนาด 1.5-2 นิ้ว ขึ้นไป แต่ราคาจะสูงกว่า

- หลังจากรับแมงมุมเข้าบ้านและใส่ในภาชนะเลี้ยงแล้ว ควรอย่ายุ่งกับมันซัก 4-7 วัน เพื่อให้มันปรับตัว แต่สามารถให้น้ำได้ตามปรกติ

- วิธีเปลี่ยนวัสดุรองพื้น หรือ วิธีนำทารันทูล่ามาใส่ตู้ใหม่ ให้ดูใน Youtube พิมพ์ว่า tarantula rehousing

- วิธีเอาทารันทูล่าขึ้นมือ ให้ดูจาก Youtube พิมพ์ว่า tarantula handling แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ปล่อยให้มันอยู่ในตู้เลี้ยงตลอดจะดีกว่า แม้ว่าจะเป็นพันธุ์ที่นิสัยเรียบร้อยแค่ไหนก็ตาม จะได้ปลอดภัยทั้งคนและแมงมุม
- เวลาเอาแมงมุมขึ้นมือ หรือเปลี่ยนภาชนะเลี้ยง ควรทำบนพื้น เพราะถ้าทำบนโต๊ะหรือที่สูงแมงมุมอาจจะตกลงมาได้รับบาดเจ็บได้

- อย่ายื่นหน้าไปใกล้ก้นแมงมุม อาจถูกมันเตะขนคันใส่หน้าหรือตาได้  เคยมีคนโดนเตะขนใส่จนตาอักเสบเป็นเดือนเลย

- ใช้ฟอร์เซป(ปากคีบขนาดยาว) หรือพู่กัน แทนการยื่นมือไปทำอะไรในตู้แมงมุม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุถูกทารันทูล่างับเพราะคิดว่าเป็นเหยื่อ

- อย่าป้อนอาหารด้วยปากคีบ แม้ว่าทารันทูล่าบางตัวจะนิสัยเป็นมิตรจนสามารถป้อนอาหารด้วยปากคีบ แต่มันอาจไปงับปากคีบแข็งๆ จนเขี้ยวหักได้

- กล่องสำหรับทารันทูล่าไซส์ 1-2.5 นิ้ว ผมใช้กล่องยี่ห้อ Boxbox ที่มีขายในห้างพวกเซนทรัลกับ B2S ทุกสาขา จากแผนกที่ขายพวกกล่องพลาสติกและกระบอกน้ำดื่ม
กล่องยี่ห้อนี้ใสดี และราคาถูก
เจาะรูระบายอากาศด้วยหัวแร้งบัดกรี(ราคาไม่ถึงสองร้อย) ใช้งานง่ายมาก คิดซะว่าเป็นธูปไฟฟ้าเสียบปลั๊ก
ขนาดผมเกิดมาไม่เคยใช้พวกเครื่องมือช่าง ยังแทบไม่ต้องเรียนรู้วิธีใช้เลย  เริ่มจากเสียบปลั๊กแล้วรอให้ส่วนหัวแหลมๆของบัดกรีร้อน(เอาไปจิ้มกับกระดาษก่อนเพื่อทดสอบความร้อน) จากนั้นก็เอาไปเจาะรูกล่องได้แล้ว

Tips: หมวดพฤติกรรม

- เวลากลางคืน ทารันทูล่าจะตื่นตัวมากที่สุด จึงควรให้อาหารเวลานั้น

- ทารันทูล่าที่ไม่ยอมกินอาหารเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน คือเรื่องปรกติ โดยเฉพาะพวกสายพันธุ์โรซีซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักอดอาหาร ให้สังเกตดูว่าส่วนก้นมันผอมแฟบหรือไม่ ถ้าก้นยังป่องดีก็ถือว่าไม่มีอะไรต้องห่วง

- ทารันทูล่าบางตัวอาจจะไม่กินเหยื่อทันทีที่เราหย่อนลงไปในตู้มัน ให้ปล่อยไว้คืนนึงแล้วมาดูตอนเช้าว่าเหยื่อหายไปมั้ย ถ้าอาหารยังเหลืออยู่ค่อยคีบออกไปทิ้งตอนนั้น

- ทารันทูล่าตัวผู้ พอโตแล้วจะผอม และดูเก้งก้างกว่าตัวเมีย ช่วงคราบท้ายๆมันจะกินน้อยลงมาก และจะขยันเดินอยู่ในตู้เลี้ยง เพราะในธรรมชาติ เมื่อทารันทูล่าตัวผู้โตเต็มที่ มันจะต้องร่อนเร่เดินตามหาตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ จึงไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไหร่

- ทารันทูล่าหลายชนิดที่อยู่นิ่งทั้งวัน พอถึงกลางคืน พวกมันจะขยับตัวทำกิจกรรมต่างๆในตู้ หลังจากเราปิดไฟในห้องจนมืด
ถ้าอยากเห็นกิจกรรมเหล่านี้ ให้ใช้โคมไฟหรือหลอดไฟที่ส่องไฟสีแดง แทนหลอดไฟปรกติ เพราะทารันทูล่าไม่สามารถมองเห็นแสงสีแดงได้ มันจึงนึกว่าในห้องยังมืดอยู่ เมื่อเราเปิดไฟสีนี้

- ถ้าอยากเลี้ยงทารันทูล่า แต่เป็นห่วงเรื่องพิษ ให้เลี้ยงพวกที่มีพิษอ่อนอย่างตระกูล Avicularia และ Caribena versicolor หรือพันธุ์แคระทั่วไป  กับสายพันธุ์แคระที่ปลอดภัยระดับสุดยอดอย่าง Euathlus sp. red แต่ตัวหลังสุดแทบหาซื้อไม่ได้เลย

พิษของทารันทูล่ามีตั้งแต่อ่อนมากไปถึงแรงแล้วแต่สายพันธุ์ อ่านอาการที่เกิดขึ้นเมื่อโดนกัดจากหน้า Bite Report ได้

Wednesday, July 18, 2018

มารา

วิธีเลี้ยง มารา ( Mara หรือ Patagonian cavies )

มารามีถิ่นฐานอยู่ที่เขตแห้งแล้งของ อาร์เจนตินา เป็นญาติห่างๆกับหนูแก๊สบี้ (ชื่อฝรั่ง หนูเควี่ หรือ กินี่ พิก) รูปร่างดูเหมือนลูกกวางผสมกับกระต่าย

สัตว์ชนิดนี้สูง 18 นิ้ว ขนาดประมาณสุนัขไซส์กลางๆ นอกจากนี้มาราก็ยังมีอีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่ตัวเล็กกว่า เรียกว่า Chacoan mara ซึ่งมีขนาดประมาณกระต่าย แต่หาซื้อยากกว่า
อายุขัยเฉลี่ย 5-14 ปี  กระโดดได้สูงถึง 2 เมตร  ออกลูกครั้งละ 1-2 ตัว

พฤติกรรม:

ถ้าเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กๆ มาราจะเชื่องกับเจ้าของและชอบอยู่กับคน แต่เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่ถูกล่าในธรรมชาติ จึงอาจมีอาการตื่นตกใจโผล่มาบ้าง
บางตัวที่เชื่องมากๆ จะมีนิสัยเรียบร้อยและอยากรู้อยากเห็น และอาจชอบให้คนลูบหัวหรือนอนให้เกาพุง แทบไม่ค่อยมีกรณีคนถูกมารากัด
มันสามารถส่งเสียงร้องได้ แต่ก็ไม่ดังจนรบกวนคน

สถานที่เลี้ยง:

เป็นสัตว์ที่ควรเลี้ยงนอกบ้านมากกว่าในบ้าน เพราะมันชอบทั้งขุดดินและแทะของ ต้องเป็นบ้านที่มีกำแพงสูง และมีอาณาเขตให้มันเดินเล่นพอสมควร นอกจากนี้ต้องระวังมันขุดอุโมงค์ทะลุใต้กำแพงออกไปนอกบ้านด้วย

วิธีเลี้ยงในบ้าน - ให้อยู่ในคอกขนาดกว้าง รั้วเป็นโลหะสูงอย่างน้อย 4-7 ฟุต(120ซม.- 2 เมตร) ความสูงของรั้วขึ้นอยู่กับความเชื่องของตัวที่เลี้ยง
สายไฟในบ้านต้องหุ้มด้วยวัสดุที่ป้องกันการเคี้ยว เผื่อไว้ตอนปล่อยให้เดินเล่นในบ้าน
วางถาดโลหะมีตะแกรงไว้ในคอกเพื่อให้เป็นห้องน้ำ ที่ต้องเป็นโลหะเพราะเอาไว้กันมันแทะ
ควรมีตะแกรงในถาดอึด้วย เพื่อให้มันยืนถ่ายบนตะแกรง ขาจะได้ไม่เปรอะและเหม็น
ถาดใส่อาหารและน้ำก็ควรทำจากโลหะเช่นกัน

เราสามารถฝึกมาราให้อึเป็นที่ได้ ด้วยการเอาถาดไปวางในมุมที่มันชอบอึ ซึ่งหมายความว่าเราเลือกตำแหน่งห้องน้ำเองไม่ได้ ต้องแล้วแต่มัน
บางตัวอาจจะเลือกสถานที่อึตรงจุดที่มันกินอาหารเหมือนหนูแก๊สบี้
เมื่อมันเคยชินกับจุดห้องน้ำแล้ว คราวนี้เวลาเราปล่อยให้เดินเล่นในบ้าน มันก็จะวิ่งมาอึตรงที่เดิมในคอกอย่างเดียว แต่นานๆทีก็อาจถ่ายข้างนอกได้

อาหาร:

โดยรวมแล้วกินเหมือนหนูแก๊สบี้ 

1. ต้องมีหญ้าทิมโมธีอยู่ในสถานที่เลี้ยงตลอดไม่มีขาด (เดี๋ยวนี้หาซื้อง่ายแล้ว ทั้งร้านสัตว์เลี้ยง จตุจักร ในเน็ต เว็ปลาซาด้าซึ่งจ่ายเงินปลายทางได้) ห้ามให้หญ้าอัลฟาฟา
หญ้าควรเป็นอาหารหลัก ส่วนอาหารเม็ดเป็นเมนูรอง

2. อาหารเม็ดของหนูแก๊สบี้ อาหารเม็ดกระต่าย
3. ผักผลไม้สด เช่น แครอท มะเขือเทศ แคนตาลูป
4. ของกินเล่นของกระต่าย หรือ หนูแก๊สบี้
5. วิตามิน C ใช้ของคนที่เป็นเม็ดๆได้
6. น้ำในชามหรือถาดโลหะ

กลิ่น:
ที่ตัวของมารา จะไม่มีกลิ่น เว้นแต่  Chacoan mara (พันธุ์เล็ก) ที่จะได้กลิ่นนิดหน่อย ถ้าดมใกล้ๆ
แต่เนื่องจากมันอึฉี่บ่อย  จึงต้องความสะอาดกรงทุกวัน ไม่งั้นกลิ่นมาแน่

สรุป:
แม้จะเป็นสัตว์รูปร่างแปลกประหลาดที่ดูไม่น่าจะอยู่กับคนได้ แต่กลับขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องพอสมควร
เหมาะกับคนที่บ้านมีอาณาเขตให้มันอยู่นอกบ้านได้ หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์เท่านั้นครับ ถ้าเลี้ยงในบ้านต้องระวังหลายอย่างทั้งเรื่องกลิ่นของอึฉี่ และการแทะหรือเดินชนข้าวของ
เป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่ค่อย EZ(ง่าย) ซักเท่าไหร่